ตั้งครรภ์_ท้อง

ตั้งครรภ์_ท้อง
ภาวะของแม่และพัฒนาการของทารกในครรภ์ article
เพื่อเป็นการปลูกจิตรสำนึกของการเป็นพ่อ และแม่
อีกทั้งเป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาการของทารกในครรภ์
เพื่อให้ได้รู้ถึงการกำเนิดของชีวิต
การที่ผู้เป็นพ่อแม่ในฐานะผู้ให้ชีวิตควรจะตระหนักถึงความรับผิดชอบ
ต่อชีวิตที่ตนเองสร้างขึ้น และเพื่อให้รู้จักมีสติและสร้างความพร้อมในฐานะผู้ให้กำเนิด
ผมขอนำบทความเกี่ยวกับภาวะของแม่และพัฒนาการของทารกมาฝากกันครับ

การกำเนิด
ภายหลังจากเกิดการผสมพันธ์แล้วหากเป็นช่วงเวลาที่ผ่ายหญิงอยู่ในช่วงเจริญพันธุ์
และไข่ตก โดยปกติแล้ว เชื้ออสุจิของฝ่ายชายจะเจาะเข้าในไข่เพื่อการผสมพันธุ์
และหลังจากนั้นเซลล์ก็จะเริ่มแบ่งตัวเพิ่มขึ้นตามลำดับแบบทวีคูณ
ซึ่งถือเป็นการกำเนิดของตัวอ่อนทารก

ระยะตั้งครรภ์ 1 เดือน
ในเดือนแรกของการตั้งครรภ์ บางครั้งหรือส่วนมาก ไม่ทราบว่าตนเองตั้งครรภ์
ประจำเดือนที่ขาดหายไป เริ่มมีความผิดปกติของระดู
และในบางราย ก็จะมีอาการแพ้ท้อง
ถ้าเป็นผู้ที่สนใจตัวเองจะทราบถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น คือ
เต้านมจะใหญ่แข็งมากขึ้น คัดและเจ็บ อารมณ์จะเปลี่ยนไป หงุดหงิด
ความไร้เหตุผลมีมากขึ้น ใน 1เดือนแรกของการตั้งครรภ์นี้
ทารกในครรภ์จะมีขนาดเล็กมาก เพียงเท่าเมล็ดข้าว อยู่ในถุงน้ำคร่ำเล็กๆ
ที่มีรกเกาะอยู่ผนังมดลูก ขณะนี้ตัวทารกน้อย ที่มีขนาดเล็กเท่าเมล็ดข้าว
จะมีตุ่มยื่นออกมาที่กำลังพัฒนา เป็นแขนขา ระบบประสาทเริ่มเกิด
และใกล้เคียงกับระบบไหลเวียนโลหิต ก็กำลังเริ่มสร้างเครือข่ายไปทั่วร่างกายของทารก

เมื่อมีความผิดปกติของระดู ควรจะตรวจสอบการตั้งครรภ์
เพื่อให้ทราบผลที่แน่นอน และถ้าท่านตั้งครรภ์ก็ควรละเลิกพฤติกรรม
ที่จะมีผลกระทบต่อสุขภาพของทารก เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มกาแฟ และสุรา เป็นต้น
ดังนั้น ท่านควรไปฝากครรภ์ตั้งแต่เนิ่นๆ

ระยะตั้งครรภ์ 2 เดือน
ในเดือนที่ 2 ของการตั้งครรภ์นั้น เป็นเดือนที่สำคัญ
เพราะเป็นเวลาที่ตัวอ่อนหรือทารกน้อยๆ จะมีการพัฒนา
เจริญเติบโตของระบบประสาทและหลอดเลือด
ขณะเดียวกันอวัยวะที่สำคัญก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ทำให้ระยะเวลาดังกล่าวนี้
ทารกจะเสี่ยงต่อการเกิดความพิการ ถ้าได้รับสารพิษเข้าไป
ในเดือนที่ 2 นี้ตัวทารกจะมีความยาวประมาณ 1 นิ้วฟุต ซึ่งแม้จะมีขนาดเล็ก
แต่ทารกก็จะมี แขน ขา หน้า รูปร่างเหมือนมนุษย์ขนาดจิ๋ว
ขณะเดียวกันก็จะมีหัวใจที่เต้นทำงานบีบเลือดไปเลี้ยงร่างกาย
ผู้ตั้งครรภ์ในเดือนที่ 2 นี้ ก็จะมีอาการแพ้ท้อง เช่นเดียวกับเดือนแรก
คือจะมีอาการแสบท้องอ่อนเพลีย หน้าอกโตขยายใหญ่ขึ้น
ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงจะทำให้การย่อยอาหารช้าลง
จะทำให้ผู้ตั้งครรภ์มักจะมีอาการท้องอืดเฟ้อ ท้องผูก
และผู้ที่ตั้งครรภ์จะรู้สึกหน้ามืด เป็นลมบ่อยๆ

ระยะตั้งครรภ์ 3 เดือน
ในเดือนที่ 3 ของการตั้งครรภ์ อาการแพ้ท้องอาจจะยังมีอยู่หรือเริ่มจะดีขึ้น
อารมณ์ของผู้เป็นแม่จะเริ่มคงเส้นคงวา ในช่วงเดือนที่ 3 นี้
ด้วยเครื่องมือตรวจการทำงานของหัวใจ อาจจะได้ยินเสียงเต้นของหัวใจ
ซึ่งถ้าผู้เป็นแม่ได้ยินแล้วจะรู้สึกว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น และน่าประทับใจ
ในวัยนี้ทารกจะมีขนาดโดยประมาณ 3 นิ้วฟุต อวัยวะต่างๆ จะเกิดจนครบ
และกำลังพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ อวัยวะต่างๆ ก็เริ่มทำงานได้แล้ว
สำหรับวัยขนาดครรภ์ 3 เดือนนี้เครื่องตรวจคลื่นเสียงความถี่สูง
ยังไม่สามารถบอกเพศได้ว่าเป็นหญิงหรือชาย
สำหรับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายนั้น จะเริ่มพบว่ามีอาการบวมของฝ่ามือ ฝ่าเท้า
รวมทั้งเส้นเลือดก็จะเริ่มโป่งให้เห็นเป็นลักษณะเส้นเลือดขอดได้ง่ายขึ้น

ระยะตั้งครรภ์ 4 เดือน
การตั้งครรภ์ในระยะนี้ นับเป็นเดือนแรกของไตรมาสที่สอง
อาการแพ้ท้องในเดือนนี้มักจะหายไป เริ่มทานอาหารได้มาก ทำให้น้ำหนักเริ่มมากขึ้น
อารมณ์เข้าสู่สภาพปกติ แต่ยังอาจจะมีสภาพใจลอย อาการตกขาวอาจจะมีมากขึ้น
เส้นเลือดขอดและ ริดสีดวงทวารจะเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
จากการขยายตัวของมดลูกอย่างรวดเร็ว ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงต่อระบบไหลเวียนของโลหิต
ในปลายเดือนที่ 4 นี้ ผู้เป็นแม่อาจจะรู้สึกได้ถึงการดิ้นของทารกในครรภ์
ถ้าเคยมีประสบการณ์ในการตั้งครรภ์มาก่อน
จะมีความรู้สึกว่าลูกดิ้นจะมีลักษณะเป็นอย่างไร
ซึ่งตรงข้ามกับหญิงตั้งครรภ์แรกทารกในครรภ์ขณะนี้จะยาวประมาณ 4 นิ้วฟุต
นิ้วมือและนิ้วเท้าเริ่มแยกกันทารกสามารถจะดูด กลืน เคลื่อนไหวได้
คล้ายกับมนุษย์ทั่วไปที่ตัวเล็กๆ นั่นเอง แต่ก็ยังอ่อนแอ
ไม่สามารถมีชีวิตอยู่นอกโพรงมดลูกได้

ระยะตั้งครรภ์ 5 เดือน
การตั้งครรภ์ได้ผ่านมาครึ่งทางแล้ว
ขณะนี้ผู้เป็นแม่มักจะมีความรู้สึกถึงการดิ้นของทารกได้
การดิ้นครั้งแรกๆ จะรู้สึกเบาและห่าง ซึ่งจะค่อยๆ ดิ้นแรงขึ้นๆ และถี่ขึ้นๆ
ขณะนี้ผู้เป็นแม่มักจะมีอารมณ์ดี ไม่ซึมเศร้า
ทารกในขณะเดือนที่ 5 จะมีขนาดประมาณ 10 นิ้วฟุต ศรีษะทารกยังค่อนข้างโต
มีการเคลื่อนไหวของแขนขาและคอได้ดี นิ้วมือและนิ้วเท้าแยกกันชัดเจน
อวัยวะเพศสามารถแยกได้ชัดเจนว่าเพศหญิงหรือเพศชาย
ทารกจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
ผู้เป็นแม่ก็มีการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะสร้างความวิตกกังวลให้แก่ตนเองได้ คือ
การเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง จะมีผิวสีเกิดขึ้น ทั้งที่ใบหน้าหรือหน้าท้อง
ที่หน้าจะทำให้เกิดสิว ฝ้า ซึ่งจะค่อยๆ จางหายไปหลังคลอด
ขอให้คุณแม่ทั้งหลายที่ตั้งครรภ์มาถึงขณะนี้ ได้มีความอดทนต่อภาวะการตั้งครรภ์ต่อไป
อีกไม่นานนักท่านจะได้เห็นลูกน้อยที่น่ารักออกมาจากครรภ์

ระยะตั้งครรภ์ 6 เดือน
เดือนที่ 6 เป็นเดือนที่ทารากจะดิ้นได้ดี บางครั้งก็จะเกิดความเจ็บปวดจากการดิ้นได้
ถ้าทารกดิ้นเข้าไปกระแทกกระเพาะปัสสาวะ หรือ ชายโครง
สำหรับในเดือนที่ 6 นี้ มดลูกจะขยายใหญ่มากขึ้น
จนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังหน้าท้อง คือจะเกิดผิวหนังแตกเป็นลาย
ที่เรียกว่าหน้าท้องลาย จะมีอาการคันตามมา
ในช่วงเดือนนี้ อาจจะมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นกับการตั้งครรภ์ เช่น
การเกิดเบาหวานขณะตั้งครรภ์ อาการพิษแห่งครรภ์
การอักเสบติดเชื้อราจะพบได้ง่ายมาก
และการอักเสบในระบบทางเดินปัสสาวะพบได้บ่อยขึ้น
ซึ่งจะต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ในส่วนของทารก
ขณะนี้มีขนาดยาวประมาณ 13 นิ้วฟุต น้ำหนักประมาณ 700-800 กรัม
ตาทารกเริ่มลืมและนิ้วมือเริ่มมีลายนิ้วมือ,เล็บ เริ่มมีขนคิ้ว แต่ผิวหนังยังไร้ไขมัน
ถ้าทารกคลอดก่อนกำหนดในเดือนดังกล่าวนี้ โอกาสจะเลี้ยงรอดยากมาก

ระยะตั้งครรภ์ 7 เดือน
เป็นการเข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ ท้องโตมากขึ้น
คุณแม่จะรู้สึกได้ดีถึงการเคลื่อนไหวของทารก
ท้องที่โตมากขึ้นทำให้คุณแม่หายใจเร็วขึ้น
เพราะมดลูกที่โตจะมาดันกระบังลมทำให้หายใจได้สั้น ๆ
คุณแม่จะรู้สึกถึงความอุ้ยอ้าย เคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่ว
นอนหลับไม่ได้เต็มที่จากการที่ทารกในครรภ์จะตื่น
และตัวมดลูกเองก็จะบีบตัวเป็นระยะห่าง ๆ กัน เป็นการเริ่มต้นการหดรัดตัวของมดลูก
ซึ่งจะรุนแรงมากขึ้นแต่ก็ไม่ถึงกับมีการเจ็บปวดเกิดขึ้น
และจะบีบรัดตัวครั้งละไม่นานเกิน 30 วินาที
ในระยะนี้คุณแม่ควรจะได้เข้าอบรมเรียนรู้ขั้นตอนการเตรียมคลอด
เพื่อจะได้ปฏิบัติตัวได้ถูกต้องเมื่อเจ็บครรภ์คลอดและเข้าสู่กระบวนการคลอด
ในช่วงระยะนี้คุณแม่จะมีน้ำหนักตัวเฉลี่ยเพิ่มสัปดาห์ละ ครึ่งกิโลกรัม
ทารกในครรภ์ขณะนี้จะมีน้ำหนัก 1 กิโลกรัมโดยประมาณ
ทารกในครรภ์จะมีการเคลื่อนไหวและปฏิกิริยาในรูปแบบต่าง ๆ
เช่น การจาม ดูดมือ ดูดนิ้วเท้า

ระยะตั้งครรภ์ 8 เดือน
ขณะนี้ท้องจะใหญ่มากขึ้นจนคุณแม่จะรู้สึกถึงความอึดอัด
ท้องที่โตขึ้นทำให้พื้นที่ปอดขยายลดลง คุณแม่จะเหนื่อยง่าย หายใจเร็วสั้น
กระเพาะปัสสาวะจะถูกกด ทำให้ต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะบ่อย ๆ
โดยเฉพาะเวลานอนก็จะถูกรบกวนได้จากการที่ต้องลุกไปปัสสาวะ
และจากการดิ้นที่รุนแรงของเด็กทารกในครรภ์
ซึ่งขณะนี้การเจริญเติบโตของระบบกล้ามเนื้อมากขึ้น อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอบ่อย ๆ
จะพบได้ เพราะการย่อยอาหารถูกกระทบกระเทือนไป
จะมีอาการของหลอดอาหารอักเสบตามมา มือเท้า จะบวม เริ่มเป็นตะคริวบ่อยขึ้น
ท้องผูกจะเป็นสิ่งปกติของคุณแม่ระยะนี้ ตกขาวจะมีมากขึ้น
ในบางคนจะมีน้ำนมไหลออกมา ซึ่งเป็นหัวน้ำนมก็ว่าได้
เพราะมีคุณค่าทางอาหารสูง ทารกขณะนี้จะมีน้ำหนักโดยประมาณ 2 กิโลกรัม
คุณแม่ควรจะต้องเรียนรู้กระบวนการคลอด และสังเกตถึงความผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้น
เช่น น้ำเดิน เป็นต้น ควรจะได้เตรียมเครื่องใช้สำหรับการเข้าอยู่ในโรงพยาบาลไว้ให้พร้อม

ระยะตั้งครรภ์ 9 เดือน
สำหรับท่านที่ตั้งครรภ์มาจนถึงเดือนที่ 9 พอเข้าเดือนที่ 9 คุณก็เริ่มนับถอยหลังได้แล้ว
วันเวลาแห่งการรอคอยจะมาถึงในไม่ช้าไม่นาน ท้องที่โตขึ้นจะลดลงจนคุณแม่รู้สึกได้
เพราะตัวเด็กทารกในครรภ์เริ่มลงสู่เชิงกราน คุณแม่จะรู้สึกโล่งขึ้นและหายใจได้ดีขึ้น
คล่องแคล่วขึ้น แต่จะหน่วงในช่วงเชิงกรานมากขึ้น
เพราะส่วนนำของทารกจะลงไปกดอวัยวะในช่องเชิงกราน อาจจะปวดที่หัวเหน่า
ปวดที่โคนขาจากการกดทับเส้นประสาทขา ปัสสาวะจะบ่อยขึ้นมาก
ทารกในครรภ์จะดิ้นน้อยลงบ้างแต่ไม่มากนัก การสังเกตการดิ้นของทารก
ถือเป็นการเฝ้าระวังต่อสุขภาพเด็กทารกที่ดีที่ผู้เป็นแม่ควรปฏิบัติ
โดยสังเกตดูใน 1 ชั่วโมงหลังอาหาร เด็กทารกในครรภ์ต้องดิ้นไม่น้อยกว่า 3 ครั้ง
ถ้าน้อยกว่าให้สังวรว่า อาจจะมีความผิดปกติเกิดแก่ทารก ควรเข้าพบแพทย์โดยเร็ว
ทารกในครรภ์ขณะนี้จะมีน้ำหนักตัวโดยเฉลี่ยประมาณ 2.5 กิโลกรัม
ในอีกไม่ช้าไม่นาน ไม่แน่ว่ากลางวันหรือกลางคืน
คุณจะมีสมาชิกใหม่ของครอบครัวเพิ่มขึ้น

ผมหวังว่าท่านผู้อ่านคงได้รับความรู้และความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของแต่ละบุคคลกล่าวคือ
1. ในฐานะลูกขอให้เข้าใจถึงความยากลำบากของผู้ให้กำเนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่ง แม่
2. ในฐานะชายและหญิง ควรจะต้องรับรู้ถึงความพร้อมของตนเอง
ในการจะตัดสินใจมีลูกหรือไม่? เพราะความสัมพันธ์ทางเพศนั้นไม่ใช้เพื่อความสนุก
จะต้องยอมรับถึงผลที่จะเกิดตามมาซึ่งคืออีกชีวิตหนึ่งที่เราเป็นผู้สร้าง
ดังนั้นเราไม่ควรที่จะเป็นผู้ทำลายชีวิตที่เราสร้างขึ้นมา
ความไม่พร้อมไม่ใช่ข้ออ้างของการทำลายแต่ควรจะเป็นขอคิดเพื่อเตือนสติ
ให้รู้จักการวางแผนและการป้องกัน
3. ในฐานะมนุษย์ ต้องเข้าใจว่าคนเราเกิดมานั้นเรามาแต่ตัวจึงไม่ควรทำอะไรที่เกินตัว,
หวังอะไรเกินเหตุ, อยากอะไรเกินควร เพราะเมื่อวันสุดท้ายของเรามาถึงเรา
ก็ไม่มีอะไรติดตัวไปเช่นกัน
เว็บที่มา http://www.love4home.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=108461&Ntype=3
สามารถชมภาพประกอบได้จากเว็บที่มาครับ

Leave a Reply