การตั้งครรภ์

การตั้งครรภ์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
การตั้งครรภ์ คือ ช่วงระยะเวลาเริ่มหลังจากการปฏิสนธิ
โดยที่ตัวอสุจิ (sperm) ผสม (conceive) กับ ไข่ (egg)
ในสภาวะและเวลาที่เหมาะสม จนถึงการคลอด
โดยในมนุษย์ใช้เวลาในการตั้งครรภ์ 36 สัปดาห์ หรือ 9 เดือน

สภาวะที่เหมาะสมในการเริ่มตั้งครรภ์
1. ไข่ต้องสมบูรณ์ โดยทั่วไปผู้หญิงจะมีไข่เดือนละ 1 ใบ
อยู่ในรังไข่ข้างใดก็ได้ ประมาณกึ่งกลางรอบเดือนซึ่งมักจะตรงกับวันที่ 14
หล้งจากวันที่มีประจำเดือนวันแรก ไข่จะเคลื่อนที่เพื่อเตรียมผสม

2. อสุจิต้องแข็งแรงและมีปริมาณมากพอ ทั้งนี้เพราะกว่าจะไปถึงไข่
อสุจิต้องผ่านสภาพความเป็นกรดด่างในช่องคลอด ผ่านโพรงมดลูก
ในระหว่างนี้อสุจิบางส่วนอาจวิ่งไปคนละทางกับเป้าหมาย
ทำให้เหลืออสุจิรอดไปถึงไข่ได้ไม่มาก
สุดท้ายอสุจิที่หาไข่เจอจะต้องมีความสามารถในการเจาะไข่เพื่อผสมได้ด้วย
จึงจะเกิดการตั้งครรภ์

อาการของการตั้งครรภ์
เมื่อมารดามีการตั้งครรภ์จะมีเริ่มมีอาการที่สังเกตได้ดังต่อไปนี้เช่น
การขาดประจำเดือน, การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน,
การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิของมารดา
ถ้ามีความวิตกกังวลก็อาจทำให้ประจำเดือนคลาดเคลื่อนได้

คำแนะนำสำหรับคุณแม่คนใหม่
เมื่อคุณสุภาพสตรีทราบแน่ชัดว่ามีการตั้งครรภ์ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที่
เพื่อให้แพทย์ดูแลทั้งคุณแม่และคุณลูกให้มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์
ตลอดระยะ เวลาการตั้งครรภ์ รวมทั้งจะได้เข้าใจในการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
หรือความผิดปกติที่อาจเกิด ขึ้น เพื่อให้คุณแม่สามารถปฏิบัติตัวได้ถูกต้อง

* การปฏิบัติตนในระหว่างตั้งครรภ์
อาหาร เป็นสิ่งสำคัญมากเพราะอาหารและทุกสิ่งที่คุณแม่รับประทานจะมีผลต่อทารก
ใน ครรภ์ทั้งสิ้น ดังนั้นจึงควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่
วันละ 3 มื้อ อาหารที่ควรรับประทานได้แก่ อาหารที่มีโปรตีนและแคลเซียมสูง
เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่วต่าง ๆ ผักใบเขียว ผลไม้ รวมทั้งยา วิตามินที่ได้รับจากการฝากครรภ์

* อาหารที่ไม่ควรรับประทาน
ได้แก่ อาหารเผ็ดจัด เค็มจัด อาหารที่สุก ๆ ดิบ ๆ ของหมักดอง
ผงชูรส ชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่

* การขับถ่าย
หญิงตั้งครรภ์มักจะมีปัญหาท้องผูก
ซึ่งก็สามารถแก้ไขได้โดยการรับประทานอาหารที่มีกากใยมาก ๆ ได้แก่
ผัก ผลไม้ และดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว
ถ้าท้องผูกมาก ๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์

* การพักผ่อน
ควรนอนวันละ 6-8 ชั่วโมง และควรหาเวลาพักผ่อนบ้างในตอนกลางวัน
ไม่ควรยกของหนักและยืนนาน ๆ

* การออกกำลังกาย
จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี หญิงตั้งครรภ์สามารถทำงานบ้านได้ตามปกติ
การเดินเล่นในที่อากาศปลอดโปร่ง บริหารกายด้วยท่าง่าย ๆ เป็นสิ่งที่ดีต่อร่างกาย
แต่ไม่ควรหักโหมจนเหนื่อยหรืออ่อนเพลียเกินไป

* การดูแลสุขภาพฟัน
หญิงตั้งครรภ์มักมีปัญหาเหงือกอักเสบและฟันผุง่าย
จึงควรแปรงฟันหลังรับประทานอาหารทุกมื้อ
และพบทันตแพทย์อยู่เสมอเพื่อตรวจเช็คสุขภาพในช่องปาก

* เสื้อผ้า
ควรใส่เสื้อผ้าที่หลวม ๆ เลือกใช้ยกทรงที่มีขนาดเหมาะสมใส่สบาย พยุงทรงได้ดี
รองเท้าควรเป็นรองเท้าส้นเตี้ย

* การมีเพศสัมพันธ์
ควรงดในระยะใกล้คลอดหรือเมื่อมีอาการเลือดออก
ในรายที่มีปัญหาอื่นควรปรึกษาแพทย์

* อาการผิดปกติที่ควรพบแพทย์ทันที
* คลื่นไส้อาเจียนมากผิดปกติ
* มีเลือดออกทางช่องคลอด
* ตกขาวมาก คันช่องคลอด
* ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว
* น้ำหนักตัวเพิ่มอย่างรวดเร็ว
* บวมตามหน้า แขน ขา
* มีไข้สูง ปัสสาวะแสบขัด
* ลูกดิ้นน้อยลง (อย่ารอจนลูกไม่ดิ้น)
* มีน้ำใส ๆ คล้าย ๆ ปัสสาวะออกทางช่องคลอด
* ปวดท้องหรือท้องแข็งแกร็งบ่อยมาก

* สิ่งที่ควรนำมาโรงพยาบาลเมื่อมาคลอด
* ของใช้ส่วนตัวสำหรับคุณแม่
* ของใช้สำหรับเด็กอ่อน
* หลักฐานในการทำสูติบัตร ได้แก่ สำเนาทะเบียนบ้าน
สำเนาบัตรประชาชนของคู่สมรส สำเนาทะเบียนสมรส (ถ้าจดทะเบียน)
ชื่อบุตร (จะเป็นชื่อจริงหรือชื่อเล่นก็ได้)

* อาการแสดงว่าใกล้คอลด ควรรีบมาโรงพยาบาล
* มีมูกเลือดออกมาทางช่องคลอด
* มีน้ำเดิน
* มีอาการเจ็บท้องถี่ขึ้นเรื่อย ๆ

* การคลอด
ปรกติเมื่อมีอายุครรภ์ได้ 9 เดือนเต็ม หรือประมาณ 281 วันจะครบกำหนดคลอด
แต่ก็จะมีคุณแม่ประมาณ 4% ที่จะคลอดก่อนกำหนดหรือคลอดหลังกำหนด
ซึ่งอาจจะช้าหรือเร็วกว่ากำหนดประมาณ 10 วัน

* การคลอดก่อนกำหนด หมายถึง การที่คุณแม่คลอดทารกออกมา
ตอนมีอายุครรภ์ไม่ถึง 40 สัปดาห์ซึ่งเด็กที่เกิดมาส่วนมากจะมีน้ำหนักน้อยกว่า 2500 กรัม

* การคลอดเกินกำหนด หมายถึง การที่คุณแม่คลอดทารกออกมาช้ากว่ากำหนด
เมื่อครรภ์มีอายุครบกำหนดคลอดมากกว่า 10 วัน

* อาการผิดปกติของมารดาในระหว่างตั้งครรภ์ที่ควรมาพบแพทย์ทันที
1.มีเลือดออกจากช่องคลอด เมื่อตั้งครรภ์ประมาณเดือนเศษ
คุณแม่บางคนอาจจะมีเลือดออกมาทางช่องคลอดเพียงเล็กน้อย
เพียงแค่วันสองวันก็จะเงียบหายไป เป็นเรื่องที่ปกติที่เรียกว่า เลือดล้างหน้า
แต่ถ้าสามวันแล้วเลือดไม่ยอมหยุด แม้จะออกเพียงแค่กระปิดประปอยก็ตาม
คุณแม่ก็ต้อง ไปพบแพทย์แล้ว เพื่อตรวจหาสาเหตุว่า
เลือดนั้นออกมาจากตรงส่วนไหน หรือจากอะไรกันแน่ เป็นการตั้งครรภ์ไข่ฝ่อ
คือไม่มีตัวเด็กหรือเปล่า หรือว่าเป็นอย่างอื่น
เพราะการที่เลือดออกหลายๆ ครั้งในคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์นั้น
มันเป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างแน่นอน

2.อาการปวดท้อง หรือเป็นตะคริว ซึ่งเพิ่มความปวดขึ้นเรื่อยๆ
หรือมีอาการปวดมากกว่า 24 ชั่วโมง

3.มีน้ำเดิน (สิ่งขับถ่ายทางช่องคลอด)
บางครั้งที่น้ำเดินเกิดขึ้นห่างจากวันครบกำหนดคลอดมาก
ลูกในครรภ์ก็ยังเล็กอยู่ เมื่อประสบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ว่าลูกจะครบกำหนดหรือไม่
ควรรีบไปหาหมอทันที หมอจะทำการตรวจภายในเพื่อดูว่าเยื่อหุ้มลูกแตกหรือไม่
หรือถ้ายังไม่ครบกำหนดคลอด แต่ถ้ามีอาการบ่งบอกมีการติดเชื้อขึ้นมา
หมอก็ต้องยุติการตั้งครรภ์ ถึงแม้ยังไม่ครบกำหนดคลอด
เพราะเด็กในครรภ์อาจจะติดเชื้อและเกิดอันตรายได้

4.มีไข้สูง ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง ให้รีบมาพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัย
และรักษาต่อไป

5.ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ทานยาแล้วไม่หาย หรือสายตาพร่ามัว

6.อาเจียน
อาการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะจะพบได้ 1 ใน 3 ของหญิงตั้งครรภ์ทั้งหมด
มักจะเกิดระหว่างอายุครรภ์ 6-12 สัปดาห์
และจะหายไปเองภายหลังอายุครรภ์ 12 สัปดาห์
แต่บางรายอาจเป็นนานกว่านั้นก็ได้ ถ้าอาการคลื่นไส้อาเจียนเป็นมาก
และเป็นตลอดทั้งวัน จนกระทั่งร่างกายได้รับอาหารและน้ำไม่เพียงพอ
ทำให้มีผลร้ายอื่นๆ ตามมาจนอาจเป็นอันตรายได้ ถ้าได้รับการช่วยเหลือและดูแลไม่ทัน

7.ทารกในครรภ์หยุดดิ้นหรือดิ้นน้อยลง
ถ้ามารดารู้สึกว่าทารกในครรภ์ดิ้นน้อยลงหรือลดลง
เป็นสัญญาณอันตรายที่มารดาต้องรีบมาพบแพทย์โดยเร็ว
เพื่อตรวจวินิจฉัยต่อไปว่าทารกในครรภ์มีสุขภาพเป็นอย่างไร
และต้องให้การ รักษาหรือไม่ ซึ่งการที่ทารกในครรภ์ดิ้นน้อยลง
มักเกิดร่วมกับภาวะขาดออกซิเจนของทารกใน ครรภ์
และก่อนที่ทารกในครรภ์จะเสียชีวิต 12-48 ชั่วโมง
จะพบว่ามารดาจะให้ประวัติว่าทารกดิ้นน้อยลงหรือหยุดดิ้น
ดังนั้นการบันทึกหรือนับการดิ้นของทารกในครรภ์จะช่วยในการค้นหาหรือแก้ไข
ภาวะที่อาจทำให้ทารกในครรภ์เสียชีวิตได้
ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A0%E0%B9%8C

Leave a Reply