น้องโสสุดรันทดชีวิตดั่งสวะ

น้องโสสุดรันทดชีวิตดั่งสวะ
น้องโสศรีผกามาศสุดรันทด ชีวิตถูกสาปดั่งสวะ
การศึกษาวิจัยที่ใช้เวลานานหลายเดือนโดยหน่วยงานเอ็นจีโอ 2-3
แห่งได้พบชีวิตสุดรันทดของหญิงโสเภณี ในกรุงพนมเป็ญ พวกเธอเจอทั้งแก๊งข่มขืน
ถูกทางบ้านทำร้าย ถูกกระทำทารุณกรรม กลั่นแกล้ง
แถมยังต้องจ่ายเงินเลี้ยงตำรวจอีก

ถึงกระนั้นพวกเธอส่วนใหญ่ก็ยังอุตส่าห์อดออม
ส่งเสียเงินทองกลับไปป้อนความหิวโหยที่รอคอยอยู่ทางบ้าน
การสำรวจวิจัยได้พบว่า หญิงสาวส่วนใหญ่ที่หันเหชีวิตไปขายบริการทางเพศ
นั้นมีสาเหตุจากสภาพบ้านแตก ครอบครัวล่มสลาย และ
เต็มไปด้วยความรุนแรงภายในบ้าน

หลายคนถูกข่มขืนตั้งแต่ยังไม่ทันได้เป็นสาว ถูกครอบครัวมองเป็นคนไม่มีค่า
นำไปขายให้กับบาร์ที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติพลุกพล่าน
จนยากที่จะกลับไปใช้ชีวิตปกติได้

พวกเธอจำนวนไม่น้อยเร่ร่อนทำงานตามลำพังอย่างไร้จุดหมาย
หลายครั้งไม่ได้ค่าบริการ เนื่องจากถูกชายที่หิ้วเธอไปเบี้ยวซึ่งหน้า
และหลายคนโดนแขกหรือลูกค้าทำร้ายอีกด้วย

พวกที่สังกัดอยู่ตามซ่องเภณีต่างๆ ก็โชคร้ายไม่น้อยไปกว่ากัน
ส่วนใหญ่ของหญิงโสเภณีในกรุงพนมเปญ ล้วนติดเชื้อไวรัสเอชไอวี/เอดส์
เพราะไม่มีความรู้เกี่ยวกับโรคร้ายที่ยังไม่มีทางรักษานี้
พวกเธอไม่มีความรู้เกี่ยวกับวิธีป้องกัน
และหลายครั้งลูกค้าไม่ยอมสวมถุงยางอนามัยก่อนจะมีเพศสัมพันธ์
ทั้งนี้เป็นการสำรวจของหน่วยงาน Women’s Agenda for Change (WAC)
ที่ปฏิบัติงานกับหญิงขายบริการทางเพศตามท้องถนนในเมืองหลวง

“หลายครั้งที่ความรุนแรงกับโรคเอดส์มาพร้อมๆ กัน” นายลี พิสัย (Ly Pisey)
เจ้าหน้าที่โครงการของ WAC กล่าวกับหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของกัมพูชาฉบับหนึ่ง

เขายกตัวอย่างว่าได้พบหลายกรณีที่หญิงโสเภณีถูกแก๊งอันธพาลข่มขืนหมู่
พวกนั้นไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย แต่ใช้ถุงพลาสติกที่ใช้บรรจุน้ำตาลทรายแทน
พฤติกรรมต่างๆ เหล่านี้บ่งบอกว่า
สังคมของชาวกัมพูชามองหญิงโสเภณีเป็นความเสื่อมโทรม
จึงถูกเลือกปฏิบัติจากสังคม
เพราะพวกเธอตกเป็นผู้ต้องหานำความเสื่อมโทรมไปสู่สังคม นายพิสัยกล่าว

การข่มขืนเรียงคิวหญิงสาวเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในกัมพูชา
แม้กระทั่งในหมู่เด็กนักเรียน
ความรุนแรงกับการเลือกปฏิบัติมักจะไม่ถูกลงโทษเพราะเมื่อทำเป็นหมู่คณะก็จะจับมือใครดมยาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ก่ออาชญากรรมเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเสียเอง

ตามสถิติขององค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือ USAID (US
Agency for International Development) ในปัจจุบัน 90%
ของหญิงโสเภณีได้พากันใช้ถุงยางอนามัยก่อนร่วมเพศกับแขก
แต่นายพิสัยแย้งเรื่องนี้แบบหัวชนฝา ยืนยันตัวเลขดังกล่าวไม่เป็นความจริง

เขากล่าวว่าทางการได้รณรงค์ให้มีการใช้ถุงยางอนามัยอย่างกว้างขวาง
เพื่อหยุดยั้งการแพร่ลามของโรคติดต่อทางเพศ
แต่เมื่อตำรวจตรวจพบถุงยางอนามัยในหญิงคนใด ก็จะกล่าวหาว่า “เองเป็นกะหรี่..”
จะถูกปรับหรือถูกกลั่นแกล้งตามอำเภอใจ

เปรียง พันนี (Preung Phanny) อดีตโสเภณีเร่รอน
เริ่มขายบริการทางเพศมาตั้งปีแต่ปี 2535 ปัจจุบันเธออายุ 42 ปี
เป็นผู้ปฏิบัติงานในระดับหัวหน้าหมู่บ้าน
ให้กับเครือข่ายสตรีเพื่อความเป็นเอกภาพ (Women’s Network for Unity)
ซึ่งเป็นองค์กรรวมของผู้ปฏิบัติงาน ร่วมกับ WAC

เธอบอกกับเจ้าหน้าที่ของ WAC ว่า เธอกับเพื่อนๆ
เคยถูกตำรวจตรวจพบถุงยางอนามัยหลายครั้ง
บางครั้งตำรวจบังคับให้พวกเธอกลืนถุงยาง
บางคนเอาเกลือทาแล้วยัดลงในอวัยเพศของพวกเธอ

นายพิสัยกล่าวว่า หญิงโสเภณีในกรุงพนมเปญ ถูกกระทำทารุณกรรมจากรอบทิศ
จากพวกแก๊งอันธพาล ตำรวจ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น
รวมทั้งบรรดาชายอกสามศอกทั่วไปที่เป็นแขกของพวกเธอด้วย

ผลการศึกษาวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้โดยสำนักงาน Violence against Women and
Children in Cambodia หรือ VAWCC
ซึ่งเป็นองค์การเอกชนที่ให้ความช่วยเหลือสตรีที่ถูกกระทำทารุณ
ได้พบว่ามีการกระทำรุนแรงต่อหญิงโสเภณี ตามท้องถนนกรุงพนมเปญในอัตราที่สูงมาก

“หญิงขายบริการตามท้องถนนจะถูกข่มขืนแบบเรียงคิวบ่อยมาก
นอกจากนั้นก็ยังถูกตำรวจจับกุมหรือถูกกลั่นแกล้งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
พวกเธอเจ็บปวดจากการดูถูกเหยียดหยามและถูกเลือกปฏิบัติ” รายงานของ VAWCC
ระบุในตอนหนึ่ง

นางจัน ดินา ผู้อำนวยการของสำนักงาน Cambodia Prostitutes’ Union กล่าวว่า
ความรุนแรงที่หญิงโสเภณีได้รับจากสังคม
ทำให้พวกเธอไม่ไว้วางใจเจ้าหน้าที่และหน่วยงานของรัฐ
ที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือในการแก้ไขการใช้ความรุนแรงต่างๆ
หลายกรณีเมื่อพวกเธอถูกแก๊งอันธพาลข่มขืนเรียงคิว ก็จะไม่ไปแจ้งความ
เช่นเดียวกันกับเมื่อถูกเพื่อนชาย หรือกระทั่งสามีทำร้าย
ทั้งหมดก็จะเงียบหายไปกับความเจ็บปวด แม้เธอจะเป็นผู้หาเลี้ยงคนพวกนั้นก็ตาม

ความรุนแรงบนท้องถนนได้ทำให้หญิงโสเภณีจำนวนไม่น้อย
หันเข้าพึ่งยาเสพติดเพื่อจะได้ลืมชีวิตรันทด
กับความโหดร้ายในสังคม ปัจจุบัน มีการใช้ยา “ไอซ์” เกล็ดสีขาวๆ
อย่างกว้างขวาง ราว 60% ของพวกเธอพกยาเสพติดชนิดนี้ในหลายโอกาส

นายพิสัยกล่าวว่า องค์การ USAID ได้เปลี่ยนนโยบายเมื่อปี 2547
จากการแก้ไขความรุนแรง
ไปเน้นการป้องกันในเรื่องการเจริญพันธุ์และการลักพาหญิงสาวเพื่อการค้ามนุษย์
ทำให้การทำงานขององค์กรเอกชนที่พึ่งพาการสนับสนุนจากหน่วยงานพัฒนาของสหรัฐฯ
ต้องเปลี่ยนเป้าหมายไปด้วย

การเปลี่ยนนโยบายของ USAID
ยิ่งทำให้การกระทำรุนแรงต่อหญิงโสเภณีเลวร้ายลงไปอีก

ต่อไปนี้เป็นตัวเลขที่น่าทึ่งจากการสำรวจของสำนักงาน VAWAC
สถิติเหล่านี้ได้จากการรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์หญิงขายบริการทางเพศ
และการจัดประชุมสัมมนาร่วมกับหญิงโสเภณีในกรุงพนมเปญ
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

– 54% บอกว่าความยากจนเป็นต้นเหตุที่ต้องหันเหชีวิต
– 38% เริ่มขายบริการทางเพศระหว่างอายุ 15-18 ปี
– 42% เป็นหญิงที่หย่าร้าง
– 82.6% ส่งเงินที่หาได้กลับไปจุนเจือครอบครัว
– 41% มีลูก 6 คนหรือมากกว่านั้น
– 79% ไม่สามารถเขียนได้ 50% อ่านหนังสือไม่ออก
– 29.1% ให้บริการแขกวันละ 6-10 ราย
– 95% ทำงานสัปดาห์ละ 7 วัน
– 70.8% บอกว่าเคยถูกแก๊งอันธพาลข่มขืนแบบเรียงคิวและ
– 100% บอกว่าพวกเธอจ่ายเงินค่าคุ้มครองให้ตำรวจ
แหล่งข้อมูล:ผู้จัดการ

Leave a Reply