ริมคลองหลอด

ริมคลองหลอด
รวบ30 หญิง-กระเทย ขายกาม ริมคลองหลอด
สน.สำราญราษฎร์ นำกำลังออกกวาดล้างอาชญากรรมส่งท้ายปีเก่า ก่อนจับกุมสาวประเภทสองและหญิงเร่ร่อนขายบริการทางเพศได้ทั้งหมด 30 คน

(25 ธ.ค.) เมื่อเวลา 00.30 น. สน.สำราญราษฎร์ นำกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สายตรวจ และจราจรของ สน.สำราญราษฎร์ จำนวน 50 นาย ออกระดม กวาดล้างอาชญากรรมและยาเสพติดตามนโยบายของกองบัญชาการตำรวจนครบาลบริเวณถนน อัษฎางค์ริมคลองหลอด ถนนศิริพงษ์ และด้านข้างกระทรวงกลาโหม

จากผลการปฏิบัติภาย หลังใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ผลปรากฏว่าเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมสาวประเภทสองและหญิงเร่ร่อนขายบริการทาง เพศได้ทั้งหมด 30 คน จึงควบคุมตัวไปดำเนินคดีในข้อหาเตร็ดเตร่ชักชวนผู้อื่นเพื่อการค้าประเวณี ก่อนทำการเปรียบเทียบปรับ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจปัสสาวะหาสารเสพติดด้วย หากพบว่าใครมีปัสสาวะสีม่วงก็จะดำเนินในข้อหาเสพยาเสพติดต่อไป

เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.สำราญราษฎร์กล่าวว่า ตาม ที่ผู้บังคับบัญชากำหนดนโยบายเร่งด่วนด้านการกวาดล้างปราบปรามยาเสพติดในทุก พื้นที่อย่างจริงจัง ทาง สน.สำราญราษฎร์ ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจสามารถตามจับกุมกลุ่มผู้เสพและครอบครองยาเสพติดพร้อมของ กลางมาได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนกรณีที่วันนี้มุ่งเป้าไปที่กลุ่มหญิงและกะเทยค้าประเวณีนั้นเนื่องจาก เป็นช่วงก่อนถึงวันคริสต์มาสและเทศกาลปีใหม่ซึ่งมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้า มามากจึงต้องป้องกันเพื่อไม่ให้ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของในประเทศโดยการจับ กุมจะทำควบคู่กับการควบคุมปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติดไปด้วย
ที่มา สนุกดอทคอม

มาดูประวัติ “ผีขนุน” กันแบบกรูรู
เชื่อไหมครับว่า…….
หลายคนบอกว่าอาชีพที่เก่าแก่ที่สุดในโลกคือ โสเภณี
ผีขนุนริมคลองหลอด ก็เป็นตลาดของหนึ่งในอาชีพที่เก่าแก่ที่สุดที่ว่ามา
คลองหลอดเป็นคูเมืองของกรุงเทพฯ เมื่อก่อนจะมีต้นขนุนปลูกอยู่เรียงรายสองฝั่งคลอง
เวลากลางคืนจะมีหญิงสาวบ้างไม่สาวบ้าง ยืนเล่นเตร็ดเตร่อยู่แถวริมคลองหลอด
สัญลักษณ์อย่างหนึ่งในสมัยก่อน คือ ถุงโชคดี เป็นถุงกระดาษหูหิ้ว
อาจพิมพ์ลายตารางหมากรุก หรือลายอื่นๆ ที่สำคัญคือมีคำว่า “โชคดี” ตัวใหญ่ๆ พิมพ์อยู่
ไม่รู้ใครเป็นคนออกแบบ (น่าสนใจค้นหานะครับ) แต่ก็เป็นแบบของถุงกระดาษยอดฮิตในสมัยหนึ่ง

สมัยก่อนๆ รถรายังไม่มาก คนที่เดินทางมาคลองหลอด เพื่อมาเที่ยวหาซื้อสิ่งที่อยากได้
อาจเดินทางมาด้วยรถเมล์นายเลิศ แล้วเดินเล่นมาตามริมคลองหลอด
อาจเจอผีขนุนแปลงร่างเป็นนางไม้เดินเข้ามาหา เจราจาต้าอวยกัน
เมื่อผ่านการต่อรองข้อเสนอเป็นที่ยอมรับถือว่าการตกลงสำเร็จ
ก็จะเดินข้ามฝากมาฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นโรงแรม และแลกเปลี่ยนการซื้อขายกันจนเป็นที่พอใจ

เมื่อรถรามากขึ้น บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไป ผีขนุนคลองหลอดก็พัฒนาขึ้นตามนักเที่ยว
เป็นเหมือนการให้บริการแบบ Drive In คือ จะมีรถขับเรียบคลองมาช้าๆ
เมื่อพบพวกเธอ กระจกก็จะถูกไขลง เจราจาต้าอวยจนเป็นที่พอใจแล้วประตูก็ถูกเปิด
เธอก็ก้าวขึ้นรถที่ขับหายไปกับความวุ่นวายของกรุงเทพฯ

ในยุคถัดมา แถบคลองหลอดได้กลับกลายเป็นถิ่นของสาวประเภทสอง สาม สี่ ไป
สาวประเภทหนึ่งเริ่มลดน้อยถอยลง และห่างหายไปพร้อมถุงโชคดี
สำหรับยุคนี้ บางครั้งไม่ต้องไปหาสถานที่ให้มันยุ่งยาก
มุมมืดหลายๆ มุมของคลองหลอดก็เพียงพอแล้วสำหรับการให้บริการ

โลกเปลี่ยนไป สังคมเปลี่ยนไป ทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง
ปัจจุบันผมได้ข่าวว่า สาวประเภทหนึ่งได้กลับมายึดคลองหลอดคืน
แต่เดี๋ยวนี้พวกเธอจะมากับมอไซค์ ในชื่อเรียก สาวสก๊อยต์
เมื่อรถยนต์รับเธอไป ตอนเสร็จการซื้อขาย มอไซค์จะเป็นฝ่ายไปรับเธอกลับ
กลับมาที่คลองหลอด เพื่อรอรถคันต่อไปที่จะมารับเธอ

คลองหลอดอาจเปลี่ยนไป ต้นขนุนก็อาจถูกตัด แต่เชื่อเถอะครับว่า
ผีขนุน ก็ยังเฮี๊ยนอยู่คู่คลองหลอดตลอดกาล………

ปล.ปัจจุบันนอกจากผีขนุนคลองหลอด ยังมีผีมะขามสนามหลวง ผีส้มตำหัวลำโพง และผีสวนลุม
ทั้งหมดที่เล่ามานี่ ก็จำเขามาเล่า ผมไม่มีประสบการณ์โดยตรง เพราะเข้ามากรุงเทพฯ ในยุคหลังๆ แล้ว
ขนาดแถวปทุมวัน และสุทธิสาร (อินทามระ) ยังไม่ทันเลยครับ……..จริงจริ๊ง!!!!
ที่มา กระทู้จากเน็ต

เรื่อง : ถนนของแม่
โดย อาทิตย์ มลิทอง
ถนนของพ่อ
ยา บ้าสองตัวสุดท้ายที่ “เฉลิม” กินเข้าไปก่อนออกรถบรรทุกวิ่งรอกจากบ่อทรายที่กาญจนบุรีมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพ มหานครนั้นฤทธิ์ของมันบ้าดีเดือดสมชื่อจริงๆเพราะเฉลิมวิ่งรอกรถบรรทุกทราย ไปกลับกาญจนบุรี-กรุงเทพฯ ได้ในคืนนี้ 4 เที่ยวแล้ว ยังคงไม่มีความง่วงเหงาหาวนอนแต่อย่างใด จนใกล้รุ่งสาง เฉลิมขับรถเที่ยวที่ 5 ซึ่งเป็นเที่ยวสุดท้าย มาถึงแยกบ้านโป่ง-เพชรเกษม สายตาเริ่มพร่ามัว มือสั่นเทา ก้านคอและไหล่แข็งห่อเกร็งกระตุก สติสตังเริ่มดับวูบลงในทันที ไม่สามารถบังคับรถ 18 ล้อคู่ชีพได้อีกต่อไป
รถ ของเฉลิมเริ่มเสียการทรงตัว หลุดโค้งพลิกคว่ำเสียงดังสนั่นหวั่นไหวปานฟ้าถล่มทลาย เฉลิมคอหักคาที่นั่ง จบสิ้นชีวิตลูกจ้างพนักงานขับรถบรรทุกที่แสนยากลำบากควบคู่กับการเป็นทาสยา บ้า ซึ่งเขาไม่อยากใช้มันเลยแต่จำเป็นต้องขับรถวันละหลายๆชั่วโมง จึงติดมันซะงอมแงมจนไม่สามารถถอนตัวจากมันได้ เฉลิมจากไปแล้วตอนใกล้รุ่งสางของวันเศร้าวันนั้น ทิ้ง “แสงดาว”เมียรัก และ “น้องปุ๋ย” ลูกสาวคนเดียวที่กำลังเรียนพาณิชย์ปี 2 ที่บ้านเช่าในชุมชนใกล้วัดช่างเหล็ก ย่านฝั่งธนบุรี ไม่ว่าเขาจะรักลูกรักเมียเพียงใดก็ตามเขาได้จากไปแล้ว………
ถนนไร้พ่อ
“แสง ดาว” และ “น้องปุ๋ย” จัดงานศพให้เฉลิมแบบเร่งรัดตามอัตภาพ ความโศกเศร้านั้นไม่ต้องบรรยายถึง แม้แต่เชิงตะกอนที่เหลือจากงานศพของพ่อ แม่ลูกคู่นี้ยังกวาดเก็บมิให้หลงเหลือ นำใส่ห่อผ้าขาวกอดไว้แนบอกร่ำไห้จนเป็นที่เวทนาแก่ผู้พบเห็นยิ่งนัก….. แม่ลูกคู่นี้โดดเดี่ยวและวังเวงเหลือเกิน ยามไร้ผู้นำครอบครัวเช่นนี้……..
ถนนของแม่
“แสง ดาว” เข็นรถเข็นคู่ชีพบรรทุกน้ำอัดลม น้ำขวดหลากสีสัน กับปลาหมึกย่างออกจากบ้านยามเช้า มุ่งหน้าสู่ถนนอันวกวนของย่านฝั่งธนบุรีที่เคยชิน โดยมีน้องปุ๋ยเดินเคียงคู่มาด้วยกันในชุดนักเรียนเพื่อมาขึ้นรถเมล์ที่ป้าย ปากซอยบ้านเช่า “แสงดาว” มองดูลูกอย่างชื่นชม “ต้องหาเงินมาส่งเสียลูกปุ๋ยให้เรียนจบพาณิชย์ให้ได้ตามที่เธอและเฉลิม ตั้งใจกันเอาไว้ ถึงไม่มีพ่อ แต่แม่นี่แหละ จะทำความฝันให้เป็นจริงให้ได้” เธอคิดอย่างตั้งมั่น ขณะเข็นรถเข็นอันหนักอึ้งข้ามสะพานแห่งหนึ่ง
“แสง ดาว” ตะเวนขายของอยู่หลายเดือน โดยมีน้องปุ๋ยมาช่วยขายตลอดยามที่เธอกลับจากโรงเรียนและวันหยุด แต่จะเพียรพยายามอย่างไร รายได้ก็ไม่พอกับรายจ่ายอยู่ดี เพราะการที่เฉลิมตายจากไป รายได้หลักของครอบครัวจึงขาดหายไปด้วย “แสงดาว” ยามนี้ จึงเป็นเหมือนดาวที่ไร้แสง ที่ต้องวิตกกังวลต่างๆนาๆ ถึงค่าใช้จ่าย ยิ่งใกล้เปิดเทอมเข้ามาทุกที น้องปุ๋ยจะทำอย่างไรเพราะขึ้นปีที่สาม เธอจะจบชั้น ปวช. แล้ว ความเป็นแม่อันใหญ่ยิ่งหนึ่งเดียวของเธออัดแน่นอยู่ในอกเพื่อหาทางออกที่ ใหญ่ยิ่งในเวลานี้
ถนนใหม่ของแม่
“แสงดาว” ยืนอยู่ใต้ต้นขนุนริมคลองหลอดอย่างเขินๆ อายๆ ในคืนเดือนมืด อากาศเย็นยะเยือกของเดือนธันวาคม ขี้เมาสองคนเดินเข้ามาทักทายและสอบถามค่าตัวแบบตรงไปตรงมา แสงดาวตะกุกตะกักตอบไป จากนั้นขี้เมาคนหนึ่งพาแสงดาวเข้าโรงแรมจิ้งหรีดราคาถูกๆ ย่านใกล้เคียง ปฎิบัติกามกิจอย่างบ้าคลั่งกับเธอ ท่ามกลางบรรยากาศอันเหม็นอับของห้องอันคับแคบที่มีกลิ่นน้ำเน่าโชยมาเป็น ระยะๆ ผสมปนเปกับกลิ่นสาปจากเหงื่อไคลของขี้เมาคนนั้นที่โถมทับเข้าหาเธอ ในคืนนั้น ทั้งนรก และสวรรค์ ได้รับรู้และได้กลิ่นพระคุณของแม่ของแสงดาวตลบอบอวลดับกลิ่นเหม็นเน่าทั้ง มวล แม่ผู้ให้ และทุ่มเท ชีวิตเพื่อลูก
แสงดาว กำเงินค่าตัวของเธอแน่น จนอับชื้น เดินร้องไห้ออกจากโรงแรม ในใจเต็มไปด้วยความหวังและตั้งใจที่ไม่มีท้อถอยท้อแท้ เงินนี่คือค่าเทอมของลูก ต้องเก็บไว้ให้ลูก ถนนสายใหม่ของแม่นี้หนาวเหน็บเหลือเกิน…..ลูกจ๋า……
แสงดาวปฏิบัติตนอยู่ อย่างนี้นานนับปี คือตอนกลางวันเข็นรถเข็นขายของ ตอนกลางคืนไปขายตัวเป็นผีขนุนอยู่ตามคลองหลอดและสนามหลวง โดยบอกน้องปุ๋ยว่าเธอไปเป็นลูกจ้างทำความสะอาดให้กับโรงแรมแห่งหนึ่ง โดยจะรีบกลับบ้านในตอนเช้ามืด ตี3 ตี 4 น้องปุ๋ยนั้นไม่เคยรู้เลยว่าแม่ออกไปเป็นผีขนุนเร่ขายตัว ขายบริการ อยู่นานนับปี…
ถนนของลูก
3 ปีต่อมา น้องปุ๋ยเรียนจบ ปวส.แล้ว แสงดาวอ่านใบประกาศนียบัตรของลูกอย่างชื่นชม เธอจุดธูปบอกเฉลิม ขอให้ดวงวิญญาณของเฉลิมรับรู้ เธอทำสำเร็จแล้ว เธอสามารถหาเงินส่งลูกจนเรียนจบถึงชั้นปวส.แล้วและขณะนี้ลูกปุ๋ยของเรากำลัง จะเข้าทำงานเป็นพนักงานคอมพิวเตอร์ของบริษัทแห่งหนึ่ง เงินเดือนดีเสียด้วย “พ่อจ๋า แม่ทำสำเร็จแล้ว” แสงดาวพูดกับภาพถ่ายเฉลิมที่เธอกอดไว้แนบอก รอยยิ้มของเธอสดใสที่สุดในวันนี้ตั้งแต่เฉลิมจากไป
ถนนขาด
“แสงดาว” เริ่มเจ็บออดๆ แอดๆ มีอาการประหลาด กินยาซื้อเองตามร้านขายยาก็ไม่หาย ร่างกายซูบผอมลง จนไปไหนมาไหนไม่ได้ น้องปุ๋ยเป็นห่วงแม่เป็นที่สุดต้องขอร้องแกมบังคับจัดการพาไปโรงพยาบาล ผลออกมาน่าตกใจเป็นที่สุด แสงดาวเป็น “เอดส์” เต็มขั้น น้องปุ๋ยพาคุณแม่กลับบ้านหลังจากที่รักษาตัวที่โรงพยาบาลมาได้ระยะหนึ่งจน หมอบอกหมดทางแล้ว….. เธอดูแลคุณแม่ของเธออย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เธอนอนเคียงข้างคุณแม่เช็ดแผลตามเนื้อตัวให้ เธอไม่เคยรังเกียจน้ำเหลือน้ำหนอง จากแผลของแม่เลยแม้แต่น้อย จนแสงดาวเริ่มเพ้อถึงเฉลิมเป็นระยะๆ
ในคืนฝนตกหนักวันนั้น…..ท่าม กลางกลิ่นเหม็นเน่าของแผลพุพองจากร่างกายของแสงดาว ดวงวิญญาณของเฉลิมประคองกอดแสงดาวเมียรักด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น จากนั้นเฉลิมจูงมือแสงดาวเดินผ่านน้องปุ๋ยที่นอนอยู่ข้างๆ น้องปุ๋ยสะลึมสะลือในสภาพกึ่งหลับกึ่งฝันกึ่งตื่นเห็นคุณพ่อคุณแม่ยืนยิ้ม โบกมือให้ จึงสะดุ้งตื่นขึ้น……. แสงดาวจากไปแล้วคุณพ่อมารับคุณแม่ไปแล้ว……… ในบ้านเต็มไปด้วยกลิ่นไออันอบอุ่นของพระคุณแม่อีกครั้ง แม่ที่ให้ได้ทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่ชีวิตราคาถูกๆ ใต้ต้นขนุนเพื่อลูก ถนนของแม่จะเหน็บหนาวและว้าเหว่สักเพียงใดก็ตาม ขอให้ถนนของลูกเป็นถนนแห่งความสำเร็จและอบอุ่นที่สุด เธอจากไปแล้ว “แสงดาว” แม่ที่ใหญ่ยิ่ง ในคืนฝนตกหนักของวันนั้น……….
……………………………………………………………………….

*** เกี่ยวกับผู้แต่ง อาทิตย์ มลิทอง(ชื่อจริงสุกลจริง) เป็นคนอ.เดิมบางนางบวช สุพรรณบุรี เรียนจบ วิทยาศาสตร์
มหา บัณฑิตนิเวศวิทยาสิ่งแวดล้อม ม.เกษตรศาสตร์ ชอบเขียนหนังสือแนวตลกครื้นเครงและมีเรื่องชีวิตบ้างในบางอารมณ์(เท่านั้น) โทร 09 –894-3602 อีเมล์ artyufo@hotmail.com
กทม.เดินหน้าจัดเระเบียบคนเร่ร่อนลงพื้นที่สนามหลวง คลองหลอด สำรวจรอบแรกพบกว่า 100 รายทั้งขายตัว ขายของเก่า แถมพบมิจฉาชีพ นักค้ายาแอบปะปน เบื้องต้นประสานกรมแรงงานฝึกอาชีพให้ คาดสำรวจ 10 รอบได้ข้อมูลครบ

ความเฮี้ยนของ “ผีขนุน” สนามหลวง ที่ออกหลอกหลอนชายวัยกลัดมัน…รวมถึงแหล่งค้ากามวิตถารจำพวก “ผู้ชายขายน้ำ” ใกล้วงเวียนรักษาดินแดน ยังเป็นปัญหาด้านมืดของกรุงเทพมหานคร (กทม.)

เรื่อยมา ไม่ต่างจากไฟไหม้ฟางที่นานๆ จะลุกโชนขึ้นมาให้สังคมตะลึง แต่พอหมดกระแสสนใจเรื่องนี้ก็เงียบหายไป…สายลมหนาวเดือนพ.ย.พัดมาแล้ว แต่ ความเหน็บหนาวยามค่ำคืนไม่ได้ทำให้กลุ่มสาวขายบริการวัยกระเตาะรอบสนามหลวง อายุระหว่าง 16-20 ปี สะทกสะท้านแต่อย่างใด

ก๊วนผีขนุน หรือผีมะขามรอบสนามหลวงยังยึดเป็นทำเลทองยืนเรียกแขกริมทาง บนถนนหน้าพระธาตุ กลุ่มชายนักเที่ยวจะรู้ดีว่าพื้นที่ละแวกนี้ “ผู้หญิง” ยึดครอง ไล่ตั้งแต่หัวมุมตรงข้ามมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ลากยาวไปจนถึงหัวมุมพระบรมมหาราชวัง จนกลายเป็นภาพชินตาของคนที่ผ่านเส้นทางไปแล้ว

แต่พอพ้นรอยต่อด้านหน้ากระทรวงกลาโหม ถนนสนามไชย ข้ามไปถึงถนนเจริญกรุงจะเป็นโซน “ผู้ชาย” ยืนเรียงรายรอขาย “ประตูหลัง” ด้านหน้าสวนสาธารณะวังสราญรมย์ สองฝั่งเรียงรายจากข้างกองบัญชาการกำลังสำรอง หรือกรมรักษาดินแดนเก่าไปยันแยกสะพานมอญ ที่ลัดไปทางหลังกระทรวงมหาดไทยได้

นักเที่ยวที่เจนสนามกามจะขับรถวนรอบเส้นทางที่ว่านี้เพื่อเลือก สินค้าตามชอบใจ หากเป็นช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ลูกค้าจะมากเป็นพิเศษ ส่งผลให้สาวๆ กับหนุ่มๆ ที่มารับจ๊อบพิเศษเพิ่มขึ้นตามไปด้วยยอดรวมเกือบ 200 คน

ไอซ์ สาวน้อยเมืองปากน้ำ วัย 18 ปี ที่มาหากินด้วยลำแข้ง ยืนโชว์หวิวเรียกลูกค้าริม ถนน บอกว่า เพิ่งมายึดอาชีพนี้ได้แค่ 3 อาทิตย์ พักอยู่แถวพระประแดง จ.สมุทรปราการ คิดค่าตัว 800 บาท หลังจบชั้นปวช.โรงเรียนพาณิชย์ แต่ยังไม่มีงานทำ มาเที่ยวสะพานพุทธกับเพื่อน นั่งรถเมล์ผ่านเห็นมีสาวๆ มายืนขายบริการ เลยคิดว่ามาหาเงินคั่นเวลาก่อนได้งานทำดีกว่า หาเงินง่าย รายได้ดี ไม่ได้บอกทางบ้านว่ามาทำงานแบบนี้

สาวๆ ที่นี่จะยึดทำเลเป็นกลุ่มๆ กลุ่มใครกลุ่มมัน ยืนกระจายตามใต้ต้นไม้ เสาไฟฟ้า ป้ายรถเมล์ ฯลฯ ไอซ์ เคยทำเงินได้สูงสุดถึงคืนละ 6,000 บาท จนต้องทำงานเกือบทุกคืน เงินที่ได้มาหมดไปกับเรื่องกิน เที่ยว ซื้อเสื้อผ้า แต่ก็ยังเก็บเงินไว้ส่วนหนึ่งไว้ส่งเสียทางบ้านเดือนละ 4,000-5,000 บาท

“แต่ถ้าเก็บเงินได้สักก้อน ไอซ์จะเลิกขายตัว และกลับไปเรียนต่อให้จบปริญญาตรี และหางานดีๆ ทำ” สาวไอซ์ บอกความในใจ

น้องๆ สาวๆ หุ่นผอมบางในชุดสายเดี่ยว หรือชุดแซ็กเร้าใจวัยรุ่น กางเกงขาสั้น เผยให้เห็นขายาวเรียวขาว สวมรองเท้าส้นสูงดูดีมีสไตล์ สนนราคาค่าตัวบวกกับหน้าตาดีมีตั้งแต่ 500-1,000 บาท แลกกับเวลา 2 ชั่วโมง ไม่นับรวมค่าห้องอีกครั้งละ 80-350 บาท เบ็ดเสร็จแล้วน้องๆ จะมีรายได้ตกคืนละไม่ต่ำกว่า 2,500 บาท เมื่อรับลูกค้าอย่างน้อย 3 คน

ถ้าเป็นช่วงกลางวันจะเป็นรอบทำงานของ “สาวใหญ่” อายุเกินหลัก 4 ที่เรียงรายกันหาลูกค้าหนุ่มใหญ่วัยกลางคน ริมฟุตปาทด้านหน้าศาลฎีกาเรื่อยไปจนถึงริมคลองหลอดข้างกระทรวงมหาดไทย ราคาถูกมากแค่ 200-300 บาทต่อครั้ง หรือบางโปรโมชัน 100 บาทแลกกับการ “อมนกเขา” ป้าๆ พวกนี้ก็พร้อมบริการอย่างเต็มใจ!!

วังวนคาวโลกีย์ชาวกรุงนั้นไม่ได้จบแค่ผู้ชายเลือกสาวคู่ขาเท่านั้น ยิ่งทุกวันนี้กลุ่มชายรักร่วมเพศไม่ว่าจะเป็นตุ๊ด เกย์ หรือเสือไบที่เป็นได้ทั้งสองเพศ กล้าเผยตัวจากเงามืดกันมากขึ้น “ผู้ชายป้ายเหลือง” ที่เป็นเหมือนแท็กซี่คอยส่งคู่กามขึ้นสวรรค์ก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ทำให้วงเวียนรด.เดิม เป็นแหล่งนัดพบของชายกลุ่มนี้ด้วย

ช่วงเวลาตั้งแต่ 19.00-03.00 น. กลุ่มชายฉกรรจ์หล่อ ล่ำ หน้าตาดี ไปจนถึงพวกอ้อนแอ้นอรชรคล้ายสาวประเภทสอง ไม่ต่ำกว่า 20-30 คน อายุตั้งแต่ 12-30 ปี จะมายืนเตร็ดเตร่เร่หาแขก ลูกค้าส่วนใหญ่คือ “ชายไม่แท้” รวมถึงชายอกสามศอกที่ชอบลองของแปลก อยากเปลี่ยนรสชาติเสพสมรูปแบบใหม่

ตั้ม หนุ่มเมืองนนท์ วัย 20 ปี ผู้ชายขายน้ำหุ่นนายแบบ ขาว ตี๋ เล่าว่า ราคาขายบริการเริ่มที่ 500 บาท แต่ถ้าเลยช่วงตี 2-3 ราคาจะขยับขึ้นไปถึง 1,000 บาท และถ้าลูกค้าติดใจลีลาอาจได้ออฟยาวเหมาค้างคืนรวม 1,500 บาท ไม่รวมค่าโรงแรม ซึ่งลูกค้าต้องควักเงินจ่ายให้ด้วย

เกรดของลูกค้าตลาดถั่วดำวันนี้ค่อนข้างมีฐานะร่ำรวย บางคนขับรถเบนซ์ บีเอ็มดับเบิลยู รถสปอร์ต มาจอดเทียบซื้อบริการเป็นประจำ ถ้าลูกค้าไม่มาก ชายขายน้ำกับลูกค้าก็จะยึดโรงแรมในย่านใกล้เคียง หรือข้ามไปฝั่งธนฯ แถวโรงแรมย่านปิ่นเกล้าเป็นสนามโลกีย์แทน เพราะคิดค่าชั่วโมงแสนถูก ราคาชั่วคราวหรือแค่ 3 ชั่วโมง แค่ 100-260 บาทเท่านั้น

ตั้ม บอกด้วยว่า ก่อนหน้านี้เคยขายสินค้ากิฟต์ช็อปที่หน้าห้างดังย่านปิ่นเกล้า แต่พักหลังเริ่มขายได้ไม่ดี ส่งผลให้เงินทุนหมุนเวียนไม่ทัน สุดท้ายเลยต้องหยุดชั่วคราว และหันมาหา “อาชีพเสริม” ประเภทเงินดีและไม่เหนื่อยแทน ผลสุดท้ายจึงลงตัวด้วยการ “ขายถั่วดำ” หาเงินใช้เอง ไม่อยากให้พ่อแม่เดือดร้อน

เหตุผลของเด็กหนุ่มหน้าตาดีทั้งหลายในละแวกนี้ ถ้าไม่ตกงาน หลายคนก็ไม่เคยทำงานอะไรมาก่อน หยุดเรียนแล้วก็อยู่บ้านเฉยๆ ไม่มีอะไรทำ จนตัดสินใจเลือกมายืนขายบริการแบบนี้จนกลายเป็นชีวิตประจำวัน นอนกลางวัน กลางคืนขายตัว

เจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 ท้องที่ ประกอบด้วย สน.ชนะสงคราม ที่ดูแลพื้นที่รอบสนามหลวง สน.สำราญราษฎร์ ที่คุมพื้นที่หลังกระทรวงมหาดไทย รวมถึงสน.พระราชวัง ที่ต้องดูแลพื้นที่สวนสาธารณะวังสราญรมย์ ต่างก็เอือมระอากับ พฤติกรรมค้ากามริมทางแบบนี้ ชุดสายตรวจต่างส่ายหน้า แม้จะเพิ่มรอบตรวจมากขึ้นช่วง 22.00-24.00 น. และ 02.00-04.00 น. ก็กดดันกลุ่มผู้ค้ากามได้เป็นครั้งคราว

พ.ต.ต.สมยศ อุดมรักษาทรัพย์ สารวัตรสืบสวน สน. ชนะสงคราม กล่าวว่า ตำรวจออกกวาดล้างเป็นระยะๆ แต่ดูเหมือนว่าโสเภณีเร่ร่อนทั้งหญิง-ชายจะไม่ได้ลดลงสักเท่าไร ยังคงมีให้เห็นอยู่ ตำรวจมีการจับกุมตัวมาดำเนินคดีทุกวัน บางวันจับได้มากที่สุดถึง 30-40 คน เท่าที่ทราบส่วนใหญ่ไม่ใช่คนในพื้นที่ เดินทางเข้ามาจากที่อื่นตั้งแต่หัวค่ำ บางช่วงก็มีมาก บางช่วงก็มีน้อย ขึ้นอยู่กับท้องที่ไหนมีการกวาดล้างหนักก็จะหนีมาอยู่บริเวณสนามหลวง
ที่มา : Post Today

คนคลองหลอด
ใน ท่ามกลางเมืองหลวงศิวิไลซ์ที่คลาคล่ำไปด้วยความเจริญทุกหย่อมหญ้า บ้านเมืองที่ต้องดิ้นรน และแก่งแย่งชิงดีกันเพื่อความอยู่รอดของคนจำนวนมาก บ้างก็หลั่งไหลมาจากชนบทที่ห่างไกลเพื่อหวังเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากสถานที่ แห่งนี้

แต่ใครจะรู้หรือไม่ ในบริเวณที่มีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย มีมหาวิทยาลัยชื่อดังตั้งตระหง่านอยู่ทั้ง2แห่ง อีกทั้งศาลหลักเมือง ศาลฎีกา วัดพระแก้ว พิพิธพันธ์สถานแห่งชาติ และสนามหลวงฯลฯ

ใน หลีบมุมเล็กๆแห่งหนึ่งที่เติบโตมาพร้อมๆความความเจริญร่ายรอบ มีวิถีชีวิตเล็กๆของคนบริเวณนั้นดำเนินไปด้วยความอัตคัดขันสน ดำเนินไปด้วยอาการปากกัดตีนถีบเพื่อความอยู่รอดไปวันๆเป็นเหมือนที่อาศัยของ คนชั้นต่ำต้อยที่สุดในระบบสังคม

“คลองหลอด”ที่ที่ใครๆตราหน้าว่าเป็นดังส้วมและซ่องของเมืองหลวงที่ที่ผู้คนต่างเมินหน้าหนี และบ่ายเบี่ยงที่จะเข้าไปเหยียบย้ำสถานที่นั้น

หากย้อนกลับไปดูต้นกำเนิดของที่แห่งนี้ ในสมัยพระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองขึ้นในพุทธศักราช 2326 เชื่อมระหว่างคลองคูเมืองเดิม และคลองรอบกรุง เพื่อประโยชน์ในการยุทธศาสตร์ และคมนาคม มี 2 คลอง แต่ก็ไม่ได้พระราชทานชื่อไว้ คงเรียกกันตามๆมาว่า “คลองหลอด”

ล้อมกรอบ
ถนนศิลปะริมคลองคูเมืองเดิม จัดตั้งโดยคณะกรรมการนักธุรกิจ เพื่อสิ่งแวดล้อมไทย (TBCSD) และสมาคมอนุรักษ์ศิลปกรรมและสิ่งแวดล้อม (SCONTE) เล็ง เห็นถึงความสำคัญของพื้นที่บริเวณคลองคูเมืองเดิม(คลองหลอด) ที่เป็นบริเวณที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม วัฒนธรรม จึงเข้าใจถึง ความจำเป็นของการอนุรักษ์ควบคู่ไปกับการพัฒนาพื้นที่ให้คงไว้ซึ่ง ความงดงามที่มีมาแต่อดีต ปรับปรุงภูมิทัศน์ ให้เหมาะสม และเกิดประโยชน์ โดยที่ยังรักษาวิถีชีวิตของผู้คนบริเวณนั้น ให้คงอยู่ควบคู่กันไป โดยใช้ชื่อว่า “ถนนศิลปะริมคลองคูเมืองเดิม” (Bangkok Art Avenue) กิจกรรมประกอบไปด้วย นิทรรศการภาพถ่ายในอดีตริมคลองคูเมืองเดิม การวาดภาพเหมือนโดยกลุ่มศิลปิน การสอนวาดภาพให้เยาวชน การแสดงดนตรีและศิลปะ ร้านจำหน่ายภาพศิลปะ หนังสือ ผลิตภัณฑ์รีไซเคิลเปิดตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2549 –สิ้นปี2549

ลองเข้าไปดูในซุ่มของงานศิลปะ ที่ ได้จัดอยู่บริเวณริมถนน ซึ่งมองออกไปฝั่งตรงข้ามจะเป็นสนามหลวง ในช่วงของนิทรรศการภาพถ่ายในอดีตริมคลองคูเมืองเดิม ทำให้สามารถมองเห็นภาพของที่แห่งนี้ได้ชัดเจนมากขึ้น เป็นภาพถ่ายเมื่อสมัยก่อน(ถ่ายเมื่อไรไม่ทราบแน่ชัด) บรรยากาศภายในภาพบ่งบอกถึงวิถีชีวิตของคนบริเวณนี้ แตกต่างกันที่ช่วงเวลา มีบ้านเมืองสมัยก่อนถอดตัวเรียงรายขนาดกับคลองทั้งสองฝั่ง เรือเป็นยานพาหนะที่ใช้ในการคมนาคมไปมาหาสู่ระหว่างกัน บ้างเป็นเรือขายสินค้า บ้างก็เป็นเรือแจวของชาวบ้าน หากเพ่งลึกเข้าไปในภาพ หลายคนคนอยากจะเชื่อว่าคลองหลอดที่อยู่ภายในภาพถ่ายนั้น เป็นบริเวณเดียวกับคลองหลอดในปัจจุปัน

การแลกเปลี่ยนด้วยเรือนร่าง
ใกล้ ค่ำแล้วทั้งหญิงสาว และหญิงแก่หลายคนเข้าจับจองพื้นที่ของตัวเอง ในบริเวณแห่งนี้เหมือนเช่นทุกวัน บ้างก็นั่งบนฟุตบาต บ้างก็ยืนพึงต้นไม้ ใบหน้าของพวกเธอไม่ได้แสดงอาการยินดียินร้ายแต่อย่างใด มีแต่ใบหน้าเรียบเฉยไร้ชีวิตจิตใจฉาบอยู่บนนั้น ผู้หญิงที่มาทำงานที่นี้มีตั้งแต่อายุ14-60ปี การแต่งตัวของเด็กสาวมักจะสวมใส่ด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้นเพื่อโชว์เนื้อหนัง มังสาได้อย่างเต็มที่ ส่วนสาวที่มีอายุมากมักจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าธรรมดา แต่จะแต่งเติมใบหน้าให้มีสีสันฉูดฉาดเกินธรรมชาติ เพื่อลบร่องรอยของความบอบช้ำให้จางหายไป ผู้หญิงที่นี้มีหลายเกรดหลายราคาให้เลือกซื้อ ไม่ต่างอะไรกับสินค้า เพียงแต่สินค้าชิ้นนี้หล่อหลอมด้วยชีวิตและจิตใจเข้าไปด้วย

ฉัน มีโอกาสได้พูดคุยกับสาวหล่อคนหนึ่ง อายุ 24ปี เธอใช้ชื่อว่าเอ เอมีอายุแก่กว่าฉัน2ปี ฉันบอกกับเธอไปแล้วว่าอายุฉันน้อยกว่าเธอ แต่เธอก็ยังเรียกฉันว่าพี่เหมือนเดิม เอเป็นผู้หญิงที่จิตใจเป็นชาย หรือที่เขาเรียกกันว่า “ทอม”นั้น แหละ หน้าตาและการแต่งตัวของเธอเหมือนทอมธรรมดาทั่วไป ผมสั้นใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ แต่รักสวยรักงาม เพราะฉันแอบเห็นว่าปากของเธอมีลิปสติกสีแดงเคลือบอยู่

ก่อน หน้าที่ฉันได้ทำความรู้จักกับเอ ฉันเคยไปนั่งฟังดนตรีเพื่อชีวิตที่จัดอยู่ที่ริมคลองหลอด เป็นกิจกรรมอีกอย่างหนึ่งที่เกิดมาขึ้นจาก โครงการศิลปะริมคลองคูเมืองเดิม คืนนั้นเธอเขามาพูดคุยกับฉันก่อน พร้อมมีความประสงค์อยากเรียนศิลปะกับเขาบ้าง แต่ไม่มีเงิน ฉันแนะนำว่าให้มาเรียนทีนี้ทุกวันเสาร์ อาทิตย์โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ฉันบอกจุดประสงค์ของการมาที่แห่งนี้ให้เอเข้าใจ เพื่อขอให้เอช่วยหาแหล่งข้อมูลให้ฉันหน่อย เอลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง และไม่นานเธอกล่าวตอบกลับมา ซึ่งเป็นข้อมูลที่ฉันรู้สึกตกใจ

“หนูก็เคยทำงานแบบนี้ แต่ถ้าพี่อยากรู้ และมันจะพอมีประโยชน์อยู่บ้างหนูก็จะเล่าให้ฟัง” นึกไม่ถึงเลยว่าสิ่งที่ฉันอยากรู้อยู่ใกล้ๆตัวนี้เอง และที่ทำให้ฉันตกใจคือเธอเป็นผู้หญิงที่เป็นทอมคนแรกที่บอกฉันว่าทำงานแบบ นี้อย่างไม่ปิดบัง ทีแรกฉันรู้สึกลังเลใจที่ต้องพูดคุยกับผู้หญิงที่นี้ด้วยเรื่องในอาชีพการ งานของเธอ และไม่แน่ใจว่าจะมีใครกล้าปริปากบอกความจริงแก่ฉันหรือไม่ และแต่แล้วเอเหมือนเป็นคนมาเปิดประตูบานนั้นให้แง้มออกเพื่อให้ฉันสอดตัว เข้าไปในห้องที่ปิดตายห้องนั้นได้ เอตกลงจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง ฉันและเอนัดแนะกันว่าอาทิตย์หน้าจะมาเจอกันอีกเพราะวันนี้เสียงดังไม่สะดวก แก่การพูดคุย

เวลานั้นเราทั้งคู่จึงนั่งฟังเพลงเพื่อชีวิตด้วยกัน ตอนนี้ฉันไม่รู้สึกกลัวที่นี้เหมือนครั้งแรกๆอีกต่อไปแล้ว หลาย คนที่นี้คิดว่าฉันเป็นหนึ่งในกลุ่มของศิลปินอิสระที่มาจัดงานในที่แห่งนี้ ซึ่งก็เป็นผลดีกับฉันเมื่อฉันแวะเวียนมาที่นี้บ่อยครั้งเข้า คนที่นี้คงเห็นฉันเป็นเพื่อนคนนึงของพวกเขา เพื่อนที่แม้ไม่ได้เอ่ยปากทักทายกัน แต่รับรู้ถึงรังสีของมิตรภาพที่แพร่ออกไป หลายคนยิ้มแย้มอย่างจริงใจเมื่อเห็นฉัน และฉันก็ส่งยิ้มแห่งมิตรภาพกลับไปหาพวกเขาเช่นกัน

พลบ ค่ำแล้ว ฉันเล่นกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอายุไม่เกิน5ขวบ ฉันส่งขนมให้น้องคนนั้นกิน แต่น้องคนนั้นมีทีท่าหวาดกลัวและกลับไปแอบด้านหลังของผู้หญิงวัยกลางคนคน หนึ่ง เธออาจจะกลัวคนแปลกหน้า เอบอกกับฉันว่าเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นลูกสาวของผู้หญิงที่เธอไปแอบข้างหลัง แม่เธอเป็นผู้หญิงมีราคา และแม่เธอมีปัญหาทางด้านการฟังที่ไม่ค่อยได้ยินหรือเกือบหนวก แม่ของเด็กสาวยื่นมือมาหยิบขนมจากมือฉันไปให้ลูกน้อย บทเพลงเพลงหนึ่งบรรเลงขึ้นบนเวที

“กำลังใจจากใครหนอ ขอเป็นทานให้ฝันให้ใฝ่ ให้ชีวิตได้มีแรงใจ ให้ดวงใจลุกโชนความหวัง” แม่ของเด็กสาวมองหน้าฉันด้วยใบหน้าที่ว่างเปล่า ฉันแอบเห็นว่าเธอร้องไห้ในความมืด เหมือนฉากในหนังที่เคยดูแต่แตกต่างตรงที่ นี้คือเรื่องจริง ฉันคงไม่รู้สาเหตุที่ทำให้เธอร้องไห้เมื่อได้ยินเพลงเพลงนี้ ถึงแม้ว่าเสียงเพลงที่เธอได้ยินจะฟังดูค่อยมาก เมื่อเทียบกับการรับรู้ของคนฟังคนอื่นๆที่มีหูปรกติ แต่เธอคงรับรู้ถึงสารในเพลงที่ถ่ายทอดมาสู่เธอ เพราะฉันเห็นเธอจับจ้องอยู่บนใบหน้าคนร้องไม่วางตา เพลงดังมากสำหรับฉัน และคงดังพอที่จะไปกระทบจิตใจเธอเช่นกัน

หลัง จากอาทิตย์นั้นผ่านพ้นไป ฉันก็ไม่ได้เจอเออีกหลายเดือน และไม่นานเกินรอครั้งนี้ฉันกลับมาพบเธออีกครั้ง ณ.สถานที่เดิมสวนสาธารณะขนาดเล็กริมคลองหลอด เธอบอกกับฉันว่าเพิ่งกลับจากต่างจังหวัดมา จากการรับงานไปเล่นเป็นตัวประกอบหนังอยู่ที่จังหวัดทางภาคเหนือ ฉัน ขอเวลาเธอสักครู่เพื่อพูดคุยกัน เธอตอบตกลง เราสองคนเดินพากันไป หยุดนั่งอยู่บนทางฟุตบาทตัวหนอน เริ่มค่ำแล้ว พระอาทิตย์กำลังหมดภาระหน้าที่ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ในขณะที่หญิงสาวหลายคนปรากฏตัวพร้อมกับแสงที่มืดสลัวของดวงจันทร์ และกำลังเริ่มปฏิบัติภารกิจของตัวเองเช่นเดียวกับหน้าที่ของดวงจันทร์ อากาศเย็นสบาย เหมาะแก่การสนทนา

“หนูเพิ่งกลับมาจากไปถ่ายหนังที่เชียงใหม่ เป็นเรื่องเกี่ยวกับวัยรุ่น ที่ติดยาอะไรแบบนี้แหละพี่ หนูรับบทเป็นทอม ส่วนใหญ่หนูก็เล่นรับเล่นละครจักรๆวงศ์ แล้วก็เล่นเป็นตัวประกอบหนังใหญ่มาแล้วหลายเรื่อง ก่อนหนูจะมาถึงจุดนี้ได้นะ หนูเคยเป็นมาแล้วหลายอย่าง ก็ไปเป็นเด็กเสริฟในร้านอาหาร ไปกวาดถนน แถวลาดกระบัง ในหมู่บ้านได้วันละ250แต่มันไกล จากกวาดถนนก็มาเป็นจับกังได้วันละ150 แล้วก็ไปเป็นเด็กเสริฟในกองถ่ายนี้แหละถึงมีโอกาสได้เป็นตัวประกอบ”การเจอกันครั้งนี้ของฉันและเอ ดูเหมือนว่าทั้งสภาพภายในและภายนอก ตอนนี้เธอดีขึ้นกว่าเดิมมาก เธอคงมีความสุขกับอาชีพใหม่ของเธอ ฉันเอ่ยถามเธออย่างสุภาพถึงอาชีพเดิมที่เธอเคยทำ เธอตอบรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ไม่มีแววของความโกรธเคือง

“เล่าได้พี่ เล่าได้ ก็แต่ก่อนก็เคยทำงานเป็นผู้หญิงแถวๆนี้ ก็มีไปกับแขกบ้าง บางคนเขารู้ว่าเราเป็นทอมเขาก็ชอบ บาง ที่ก็มีผู้หญิง บางที่ก็เป็นผู้ชาย แต่ถ้าเป็นผู้หญิงจะนอนด้วย ถ้าเป็นผู้ชายจะเอาเงินเสร็จแล้วชิ่งหนีไป ส่วนมากหนูจะทำงานแบบนี้ตอนไม่มีตังค์ แต่ตอนนี้ก็หยุดไปได้นานแล้ว ”

ระหว่างการสนทนาอยู่ๆก็มีเสียงทะเลาะวิวาทกันอย่างรุนแรงเกิดขึ้นในบริเวณถัดออกไป

“ไอ้เ -ี้ย…มึงเอาเงินกูคืนมา”เด็กสาวคนหนึ่งตะโกนพร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้นสุดเสียง (เสียงดังมาก) พร้อมกับวิ่งออกไปจากบริเวณสวนสาธารณะไปข้ามฝั่งไปสนามหลวง จากนั้นมีชายวัยรุ่นวิ่งตามมาด้วยติดๆ

“สงสัยทะเลาะกัน เป็นเรื่องปรกติแล้วพี่ เด็กพวกนี้หนูก็รู้จัก ผู้หญิงนี้นะลูกสองแล้ว อายุ17เท่านั้นเอง”เด็ก สาวที่ฉันเห็นคนนั้น ยังเป็นเด็กสาวที่ตัวยังเล็กอยู่มาก ทั้งร่างกายก็ยังไม่ใช่สาวเต็มที่ ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าเธอมีอายุเพียง17 และผ่านการมีลูกมาแล้วถึงสองคน

แต่ ยังไม่แน่ชัดว่าทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไร และแล้วเรื่องราวเริ่มกระจ่างขึ้น จากปากคำของชายวัยกลางคนอายุประมาณ40กว่า เขานั่งอยู่ข้างๆเอไม่ไกลออกไปมากนัก คงได้ยินบทสนทนาที่ฉันถามเอไปเมื่อสักครู่นี้ ถึงเหตุทะเลาะวิวาท จึงอยากเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย

“ก็ผู้ชายมันคุมผู้หญิงหากิน มันเป็นผัวเมียกัน มัน คงขัดผลประโยชน์อะไรกันสักอย่างแหละถึงได้ทะเลาะกัน มาที่นี้ เราเห็นทุกอย่างการกินการอยู่คนที่นี้จะสอนอะไรเราทุกอย่าง เด็กสาวทีนี้หาตังค์ ไปดูตอนเย็นๆ นะ นี้เดี๋ยวก็เริ่มมาแล้วเนี้ย แกมานั่งตรงนี้เขาจะหาว่าแกขายตัวนะ คือบ้างคนจะเขามาถามว่า น้องขายเท่าไร เราจะโกรธเขาไม่ได้ เพราะจุดนี้เป็นจุดที่เขาใช้หาเงิน พูดง่ายๆเหมือนกับว่าตรงนี้เป็นทางผ่าน ก็อาทิตย์ที่แล้วนะฉันมาเที่ยวที่นี้แล้วก็พาผู้หญิงกลับไปนอนด้วยคนหนึ่ง มันมาบอกฉันว่าถูกผู้ชายตามมาและบังคับให้ไปกับมัน ผู้ชาย ก็พามันไปแถวอนุสาวรีย์ พอถึงที่ ไอ้ผู้ชายมันต่อยท้องแล้วก็เอาเงินผู้หญิงไป แถมยังโดนมันเอาอีก ต้องนั่งแท็กซี่กลับมา ผู้หญิงมันก็ไม่มีตังค์หรอก เล่าให้แท็กซี่ฟัง แท็กซี่ก็สงสาร ถามว่าจะเอาเรื่องไหมจะพาไปส่งตำรวจให้ มันบอกไม่เอา เพราะไม่อยากมีเรื่องตัวเองก็ทำงานแบบนี้ เขาก็พามันมาส่งตรงนี้ พอดีมาเจอฉันมันก็เลยขอให้ฉันช่วย กลัวผู้ชายตามมาอีก มันให้ฉันพาไปนอนที่แคมป์ที่ฉันขับรถแท็กเตอร์มีก่อสร้างอยู่แถววงเวียนใหญ่ ทีนี้มันไม่ยอมไปเลย อยู่กับฉันตั้ง3วัน พอถึงวันพ่อ วันที่5ธันวาคมนี้ผ่านมานี้แหละ ฉันก็บอกกับมันว่า ต้องพาไปส่งแล้วเพราะเดี๋ยวต้องทำงานได้หยุดแค่วันเดียว มันก็บอกว่าจะเลิกทำงานแบบนี้แล้ว จะเลิกแล้ว แต่พอมาครั้งที่แล้วก็เจอมันอีก มันก็เถียงว่าไม่ได้มาทำแล้ว มาเที่ยวเฉยๆ ฉันก็รู้แหละว่ามันมาทำอะไร คนพวกนี้นะมันไม่ยอมเลิกง่ายๆหรอก งานการก็ไม่ทำทำแบบนี้ได้เงินมาง่ายจะตาย นี้เดี๋ยวสักสองสามทุ่มมันก็มาแล้ว”ชาย คนนั้นพูดโดยไม่ได้ใส่ใจหรือล่วงรู้ว่าเอเคยเป็นหญิงสาวในจำนวนนั้น ฉันแอบเหลือบมองใบหน้าเอ และพบว่าเธอคงรู้สึกชอกช้ำไม่น้อย ที่มีคนไปตอกย้ำบาดแผลลึกๆที่กำลังจะเริ่มหายในห้วงหัวใจของเธอ

ฉัน กลับมาถามถึงเรื่องเดิมๆที่ฉันยังคุยค้างกันอยู่กับเอ เป็นเรื่องของจำนวนเงินที่สามารถซื้อช่วงเวลาชีวิตชั่วขณะหนึ่งให้หลุดลอยไป จากเธอได้ เป็นการแลกเปลี่ยนของความสุขให้แก่คนซื้อ แต่ไม่แน่ว่ามันอาจจะตอบแทนด้วยความทุกข์ของคนถูกซื้ออย่างพวกเธอหรือเปล่า

“ราคาส่วนมากจะขึ้นอยู่กับสภาพสินค้านั้นแหละ ก็มีตั้งแต่ สามร้อย ห้า ร้อย แปดร้อยถ้าซิงก็แพงหน่อย ขึ้นหลักพัน แต่พวกผู้หญิงที่มาใหม่ก็จะมีโดนไถ่ตังค์บ้าง ก็ถ้าให้ก็ไม่เป็นไร ไม่ได้ทำอะไร แต่ถ้ามีผู้หญิงสวยๆใหม่มา จะโดนลงแขกเลยอย่างแรก เกือบสิบห้าคนนะพี่ ผู้หญิงที่ดูแบบตอแหลหน่อยจะโดน หนูจะได้เป็นคนแรกเลยแล้วคนอื่นๆค่อยตามมา” เอบอกเล่าเรื่องราวของความคึกคะนอง สมัยที่ตัวเองยังคงเจนจัดอยู่ในสนามสังเวียนของชีวิต ลุงคมยังคงนั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยปากพูดคุยเป็นระยะๆ

“โอ้ยนี้น้อง ตอนนี้หาไม่ได้แล้วซิงอ่ะ แถวนี้เขามีผัวคุมกันหมดทั้งนั้น” น้าคมพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจในความคิดตัวเอง เอแย้งตอบ ด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“บางคนก็ไม่มีคนคุมนะ น้าเป็นใคร น้าอย่ามารู้ดี ถามหนูนี้อยู่มาตั้งแต่อายุหกขวบ พี่หนูรู้ดีกว่า” เอโต้ตอบไม่ลดละ

ฉัน ตัดบทเอ่ยถึงจุดมุ่งหมายของน้าคมชายผู้มาร่วมวงสนทนาด้วย ว่าเหตุใดในเวลาค่ำคืนแบบนี้เขาถึงมานั่งอยู่ที่นี้หรืออาจเป็นเพราะเขาคง มาตามหาผู้หญิงคนนั้นที่เขาพูดถึง แต่น้าคมกลับตอบบ่ายเบี่ยงว่า ถ้ามาตามหาก็เท่ากับกลับไปส่งเสียเขาอีก น้าคมบอกว่าไม่เคยคิดจะจริงจังกับผู้หญิงพวกนี้ตราบใดที่พวกเธอยังทำงานแบบ นี้อยู่ ที่มาที่นี้เพราะว่ามีเวลาหยุดพักงานที่แคมป์ก่อสร้าง เลยมานั่งเล่นทอดอารมณ์ที่นี้ พร้อมกับทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ว่า “แถวนี้แม่ค้าสวยๆเยอะเหมือนกันนะ” ก่อนที่จะเดินหายไปในความมืด พร้อมกับลมหายใจของหมาป่าที่หื่นกระหาย

“แม่ค้าแถวนี้มีแต่กระเทยนะสิ สวยๆที่เห็นนะ ของปลอมทั้งนั้น แต่ถ้ามีคนไปซื้อเขาก็ขายนะ”

เมื่อ ฉันเอ่ยถามว่าหากใครซักคนจะจำหน้าเธอได้ว่าเคยรับบทเป็นตัวละครในหนังที่ ผ่านหูผ่านตามาบ้าง และมีใครมาล่วงรู้ว่าเธอเคยทำอะไรมาก่อน หรือเธอจะรู้สึกเช่นไร

“ก็มีคนจำหนูได้เหมือนกันนะ หนูไม่อายหรอก ถ้า เขาถามหนูก็จะบอก ให้เขารู้วันนี้ดีกว่ามารู้ที่หลัง ถ้าหนูก้าวออกไปนะหนูไม่เคยเดินถอยหลัง ความตั้งใจจริงๆของหนูอนาคตอยากทำงานในมูลนิธิร่วมกตัญญู เก็บศพ แล้วเก็บของมีค่าไปคืนญาติเขา ทำเราก็ได้บุญด้วย ตอนนี้นะหนูไม่อยากนอนเลย หนูอยากทำงานได้ตังค์เยอะๆ เพื่อไว้ตอนแก่”

ถ้า เทียบกันแล้วระหว่างบทบาทของหนังที่เอรับบทเล่น กับบทละครในชีวิต ที่เกิดขึ้นจริงทุกเหตุการณ์ ทุกการกระทำ ซึ่งเป็นฉากชีวิตที่ไม่จำเป็นต้องปรุงแต่ง จัดฉากใดใดทั้งสิ้น บทละครที่ดำเนินไปด้วยเลือดเนื้อและจิตใจของหญิงสาวที่คลาคล่ำในถนนชีวิต เส้นนี้ บุคคลที่กำลังชูช่อจากโคลนตมเพื่อรับแสงของวันใหม่ของพระอาทิตย์แรกแย้ม เสียงหนึ่งของเอยังดังกึกก้องอยู่ในห้วงความทรงจำ “ถ้าหนูก้าวออกไปนะหนูไม่เคยเดินถอยหลัง”

แม้ ว่าบริเวณนี้ถูกแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลาเช่นใด แต่ก็ยังมีอาชีพเดิมๆ อย่างอาชีพโสเภณีข้างคลองหลอด ที่มีมาตั้งแต่รัชกาลที่5 สืบต่อมาถึงปัจจุบัน เหมือนมรดกที่ตกทอดจากบรรพบุรุษมาถึงลูกหลาน เป็นมรดกที่ไม่ได้มีใครแก่งแย่งกันเป็นเจ้าของอยากครอบครอง หากแต่ทำไปเพื่อปากท้อง
เครดิต เสาวรส สันประเสริฐ

Leave a Reply