วัยรุ่นกับการมีเพศสัมพันธ์

วัยรุ่นกับการมีเพศสัมพันธ์
บทความสุขภาพจิต – เพศสัมพันธ์ของวัยรุ่น
วัยรุ่นกับการมีเพศสัมพันธ์และการคุมกำเนิด

วัยรุ่นเป็นวัยที่อยากรู้อยากเห็นโดนเฉพาะเรื่องเพศ
การหาทางออกที่ดีจากการหมกหมุนเรื่องเพศ
เช่นการออกกำลังกาย การเล่นกีฬา การอ่านหนังสือ การร้องเพลง
หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่เหมาะสม ที่สามารถหันเหหารหมกหมุนเรื่องเพศ
เป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่การป้องกันเมื่อจำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์เป็นสิ่งที่ต้องให้วัยรุ่นทราบ
เพื่อเป็นการป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์
ตลอดจนป้องกันภาวะการตั้งครรภ์ในวัยมี่ไม่สมควรหรือในสภาพที่ไม่พร้อม

วัยรุ่นกับการมีเพศสัมพันธ์
วัยรุ่นกับการมีเพศสัมพันธ์

การป้องกันการตั้งครรภ์หรือคุมกำเนิดมีหลายวิธีความแตกต่างกัน เช่น

– การใช้ห่วงกำเนิด ป้องการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 98%
– การรับประทานยาคุมกำเนิด ป้องกันการตั้งครรภ์ประมาณ 95%
– การฉีดยาคุมกำเนิด ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 99%
– การใช้หมวกครอบปากมดลูก ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 80%
– การใช้ยาฝังคุมกำเนิดได้ผิวหนังบริเวณต้นแขน ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 99%
– การใช้ถุงยางอนามัยในผู้ชาย ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 86%
– การใช้ยาฆ่าสเปริม์ฉีดล้าง ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 74%
– การหลั่งภายนอกช่องคลอด ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 60-80%
– การนับวันที่ไข่ตกเพื่อนับระยะปลอดภัย ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 70-75%

จาก ข้อมูลประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์วิธีต่างๆ
ก็ไม่ได้ป้องกันได้ 100% ดังนั้นการมีเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นเป็นสิ่งที่ไม่สมควร
เพราะไม่พร้อมทั้งวุฒิภาวะและฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม
จึงไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันสมควร และเป็นสิ่งที่ควรยกเว้นหรือไม่
ควรทดลองปฏิบัติคำกล่าวที่ว่า อดข้าวจนถึงคาดชีวาวายแต่ไม่ตายเพราะอดเสน่หา
เพราะเพศสัมพันธ์ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในวัยดังกล่าวแต่การเล่าเรียน
เขียนอ่านซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นและทำให้เป็นรากฐานทางอาชีพที่ดีในอนาคต

การ คุมกำเนิดที่สมารถหาได้ง่ายๆ และช่วยป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่ดีที่สุด
คือการใช้ถุงยางคุมกำเนิดในฝ่ายชาย โดยจะป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์
เช่นหนองใน ซิฟิลิส และเอดส์ ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
แต่การใช้ถุงยางต้องไม่ใช่สารหล่อลื่นอื่นๆ ที่มีผลทำให้ถุงยางเสื่อม
เช่น โลชั่น ครีมบำรุงผิว น้ำมัน หากจำเป็นต้องใช้สารหลอลื่นต้องใช้เจลหล่อลื่น
ที่ไม่มีผลต่อถุงยาง นอกจากนั้นการสวมใส่ถุงยางที่ถูกวิธีเป็นสิ่งที่จำเป็น
ซึ่งมีอธิบายในกล่อง ถุงยางอยู่แล้ว และเมื่อเสร็จกิจหรือฝ่ายชายหลั่งแล้ว
ควรดึงอวัยวะเพศออกมาในขณะที่แข็งตัว ตัวอยู่ เพื่อหลีกเลี่ยงการรั่วไหล
และบางกรณีอาจต้องสวมถุงยาง 2 ชั้น ในกรณีที่จำเป็น
แต่ประสิทธิภาพการป้องกันการตั้งครรภ์อาจไม่ถึง 100% เพราะสาเหตุข้างต้น
แต่ก็เป็นการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่ดี
ดังจะมีคำสอนในหมู่ภรรยาที่มักจะกล่าวกับสามีว่า
“ ริจะเที่ยวต้องหัดป้องกัน อย่านำเชื้อโรคมาแพร่ให้เมีย “
ซึ่งเป็นคำสอนที่ดีในภาวะปัจจุบันที่โรคเอดส์หากติดมาแล้วถึงตายได้
และทำให้ลูกเมียเดือดร้อน

การ คุมกำเนิดในหมู่วัยรุ่นที่นิยมอีกวิธีคือ การใช้ยาคุมหลังร่วมหรือยาคุมฉุกเฉิน
ปกติที่นิยมใช้ในท้องตลาด คือ ยา levonorgestrel ขนาด 750 ไมโครกรัม
ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชนิดโปรเจสติน
ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ประมาณ 85%
โดยยามีกลไกการออกฤทธิ์ คือ การยับยั้งการตกไข่ในกรณีที่ใช้ในช่วงเวลาครึ่งแรก
ของรอบเดือนหรือการ เปลี่ยนแปลงเยื่อบุมดลูกทำให้เกิดการฝังตัวของไข่ที่ถูกผสม
หรือรบกวนหน้าที่ของเยื่อบุผนังมดลูก และอาจมีการยับยั้งการผสมตัวของไข่กับอสุจิ
รบกวนการเคลื่อนที่ของไข่กับอสุจิ ทำให้หมู่ปากมดลุกข้นเหนียว
และการกินยาคุมหลังร่วมมีผลข้างเคียงที่พบบ่อย คือ
คลื่นไส้พบประมาณ 16% อาเจียน 3% และที่พบบ่อยคือ
ภาวะรอบเดือนผิดปกติช้าหรือเร็วกว่าเดิม
ซึ่งมีคำแนะนำหรือข้อที่พึงระมัดระวังการใช้ยาคุมหลังร่วม ดังนี้

– ต้องรับประทานยาเม็ดแรกให้เร็วที่สุด ซึ่งไม่เกิน 72 ชั่วโมง
หลังมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งปกติจะแนะนำให้กินหลังมีเพศสัมพันธ์ 1 ชั่วโมง
และอีกเม็ดหนึ่งใน 12 ชั่วโมงต่อมาหากรับประทานช้ากว่ากำหนดไป 12 ชั่วโมง
ให้ประสิทธิภาพยาคุมกำเนิดลดลง 50%

– ประสิทธิภาพของยาในการป้องกันการตั้งครรภ์ไม่ได้ 100%
จึงควรวิธีคุมกำเนิดอื่นๆ ร่วม เช่น การใส่ถุงยางในผู้ชายและ
ยังช่วยลดการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ได้

– ประจำเดือนรอบถัดไปอาจมาช้าหรือเร็วกว่าเดิมหรือตรงตามเวลาปกติก็ได้
กรณีที่มาช้ากว่าปกติ 2-3 สัปดาห์ควรทดสอบว่าตั้งครรภ์หรือไม่
และในขณะที่รอรอบเดือนมาควรใช้ถุงยางอนามัยหากมีเพศสัมพันธ์

– กรณีที่ปวดท้องน้อยอย่างรุนแรงหรือมีเลือดออกมากต้องพบแพทย์
โดยเฉพาะหาก 3 สัปดาห์ต่อมามีเลือดออกผิดปกติหรือไม่มี
หรือมีระยะสั้นๆ กว่าปกติมาก

– ไม่ควรใช้ยาคุมฉุกเฉินเกิน 2 ครั้ง (4 เม็ด ) ในหนึ่งเดือน
และไม่แนะนำให้ใช้ประจำในการป้องกันการตั้งครรภ์
เมื่อมีเพศ สัมพันธ์อย่างเป็นประจำซึ่งผิดวัตถุประสงค์ของข้อบงชี้ของยา
การใช้ยาอย่างพร่ำเพรื่อทำให้รอบเดือนผิดปกติได้

– เมื่อมีการตั้งครรภ์พบว่ายานี้ไม่มีผลทำให้เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์

อย่าง ไรก็ตามการใช้ยาคุมกำเนิดควรได้รับการตรวจร่างกายและพบแพทย์ก่อนใช้
โดยเฉพาะกรณีที่ต้องใช้เป็นประจำ ซึ่งการกินยาคุมกำเนิดเป็นวิธีที่คุมกำเนิด
ที่สะดวกราคาถูกไม่ต้องผ่าตัด
จึงได้รับความนิยมในสตรีที่ต้องการคุมกำเนิดอย่างปลดอภัย
และหลีกเลี่ยงการ ตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ แต่ท้ายที่สุดในหมู่วัยรุ่นเอง
ไม่ควรริมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียนหรือมีค่า
นิยมในการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันสมควรอันจะก่อให้เกิดปัญหา
การตั้งครรภ์ไม่ พึงประสงค์และอาจทำให้เกิดโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์
โดยเฉพาะการติดเอดส์ ซึ่งจะทำให้เสียอนาคตและถึงแก่ชีวิตในวัยก่อนอันควร
เพราะเอดส์ไม่มียารักษา ให้ขาดได้ แต่ป้องกันได้โดยสวมถุงยางเมื่อจำเป็น
ต้องมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง ท้ายที่สุด วัยรุ่นปัจจุบันมีความคิดเป็นของตนเอง
มีความคิดอ่านที่มีเหตุผลมากขึ้นและสังคมไทยเป็นสังคมที่มีค่านิยมเรื่องเพศ
ไม่ให้ชิงสุกก่อนห่าม หรือ การรักนวลสงวนตัวของเพศหญิง
สิ่งเหล่านี้จะเป็นเกราะกำบังป้องกันภาวะตั้ง ครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์

วีระ ดุลชูประภา
เภสัชกร

One thought on “วัยรุ่นกับการมีเพศสัมพันธ์”

Leave a Reply