ชายหญิงไม่เหมือนกัน

ชายหญิงไม่เหมือนกัน
ความรัก ความใคร่ชายหญิงไม่เหมือนกัน
เมื่อผู้ใหญ่เตือนลูกหลานว่าอย่าชิงสุกก่อนห่ามนั่นคือ การสอนไม่ให้ทำสิ่งที่ยังไม่สมควรแก่วัย หรือยังไม่ถึงเวลา ซึ่งมักสอนในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร แล้วเมื่อไหร่คือวัยอันสมควรและเหมาะสม เราท่านควรเข้าใจเรื่องความรัก ความใคร่ของหญิงชายกันก่อนดีไหม

ความรัก ความใคร่…..ชายหญิงไม่เหมือนกัน
ความรักและความใคร่มีความสัมพันธ์กัน เปรียบเสมือนวงกลม 2 วงที่ซ้อนกัน เซ็กซ์บางส่วนไม่มีความรักเข้าไปเกี่ยวข้อง เช่น การข่มขืน การขายบริการทางเพศ แต่บางส่วนของความรักก็ไม่มีความใคร่เข้าไปเจือปน เช่น พ่อรักลูกสาว แม่รักลูกชาย คุณครูรักลูกศิษย์ รวมทั้งความรักต่างเพศแบบกัลยาณมิตร โดยไม่มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาว ส่วนตรงกลางที่ซ้อนกันระหว่างรักกับใคร่ ก็เช่นความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ซึ่งมีทั้ง 2 ส่วนประกอบกัน

ผู้หญิงมีความทุกข์ในเรื่องความรัก แต่ผู้ชายมีปัญหาเซ็กซ์ เนื่องจากฮอร์โมนเพศหญิงและชายไม่เหมือนกัน ฮอร์โมนเพศหญิง เป็นฮอร์โมนแห่งความรัก ฮอร์โมนเพศชาย เป็นฮอร์โมนแห่งเซ็กซ์และความก้าวร้าว ผู้ชายส่วนใหญ่จึงสนใจหรือหมกมุ่นในเรื่องทางเพศมากกว่าผู้หญิง มีพฤติกรรมรุนแรงมากกว่าและสนใจกีฬาประเภทฟุตบอล ในขณะที่ผู้หญิงชอบอ่านหนังสือแนวโรแมนติก ติดละครโทรทัศน์ และชอบช็อปปิ้งมากกว่าเพศชาย นอกจากนี้ ผู้หญิงยังมีฮอร์โมนแห่งความเป็นแม่ ซึ่งจะหลั่งออกจากสมอง เมื่อเห็นเด็กทารก ภาพลักษณ์ที่มีลักษณะอ้วนๆ กลมๆ จะกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอยากอุ้มอยากกอด อยากดูแลเอาใจใส่…ผู้หญิงจึงเรียนพยาบาลมากกว่า ในขณะที่ผู้ชายไปเป็นทหาร

นอกจากฮอร์โมนแห่งความรักและความเป็นแม่แล้ว ผู้หญิงยังมีฮอร์โมนออกซีโทซิน ผลทางกายคือทำให้มดลูกบีบตัวเป็นจังหวะ แต่ผลทางจิตใจคือเป็นฮอร์โมนแห่งความผูกพัน จะหลั่งจากสมองใน 3 กรณี ได้แก่
1. หญิงตั้งครรภ์ท้องแก่ใกล้คลอด เมื่อมดลูกบีบตัวและคลอดลูกออกมา คุณแม่จึงรู้สึกผูกพันกับเด็กทันทีเมื่อตอนแรกเกิด
2. ขณะที่คุณแม่ให้นมลูก สมองจะหลั่งฮอร์โมนออกซีโทซิน ทำให้แม่เกิดความผูกพันกับลูกน้อยในอ้อมแขน
3. เวลาผู้หญิงมีเซ็กซ์กับผู้ชาย ฮอร์โมนออกซีโทซินหลั่งจากสมอง ทำให้มดลูกบีบตัวและผู้หญิงก็จะเกิดความผูกพันกับผู้ชายที่มีเซ็กซ์ด้วย
แต่ผู้ชายไม่มีฮอร์โมนออกซีโทซิน เพราะฉะนั้น โดยธรรมชาติแล้วเพศชายจึงไม่รักเดียวใจเดียว และไม่รู้สึกผูกพันกับผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ด้วย ในขณะที่ผู้หญิงหลายคนเข้าใจว่าผู้ชายคงรู้สึกแบบเดียวกัน คือผูกพันเป็นของกันและกัน
ผู้หญิงบางคนใช้เพศสัมพันธ์เป็นเครื่องมือในการผูกมัด แต่ผู้ชายส่วนใหญ่กลับรู้สึกหมดความตื่นเต้น หรือ game over แล้วไปแสวงหาความเร้าใจจากคนใหม่ต่อไป นำไปสู่ความผิดหวังเรื่องความรัก เพราะไม่เข้าใจธรรมชาติที่แตกต่างของชายหญิง

อารมณ์และการตื่นตัวทางเพศในวัยหนุ่มสาว มีธรรมชาติอยู่ 3 ประการคือ
1. เป็นผลพวงของฮอร์โมนเพศชาย ผู้ชายมีมาก (ระดับสูงสุด ในช่วงอายุ 15-25 ปี) ส่วนผู้หญิงมีน้อย (ระดับสูงสุด ในช่วงอายุ 30-40 ปี) เด็กเล็กยังไม่มีและคนแก่ก็ลดลงกว่าตอนหนุ่มสาว
2. ผู้ชายตื่นตัวทางเพศง่ายและรวดเร็วกว่าผู้หญิงผู้ชายตื่นตัวง่ายกว่าเหมือนเตาแก๊ส ส่วนผู้หญิงตื่นตัวช้าเหมือนเตาถ่าน เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าธรรมชาติของผู้ชายเป็นวัตถุไวไฟ
3. สิ่งเร้าทางตากระตุ้นได้ไวที่สุด และรองลงมาคือทางผิวหนัง ผิวหนังส่วนที่ไวต่อการกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวทางเพศเรียกว่า erogenous zone (พื้นที่สัมผัสเสน่หา หรือพื้นที่วาบหวิวสยิวเสียว)

นอกจากนี้ เรายังพบว่าผู้หญิงอาจมีการตื่นตัวทางเพศได้อีก 2 กรณี ได้แก่
1. เมื่ออยู่ใกล้คนรัก เพราะอารมณ์รักนำไปสู่ความปรารถนาในการมีสัมผัสทางผิวหนัง
2. เมื่อมีไข่ตก (ช่วงกลางระหว่างรอบเดือน) และประมาณ 1-2 วันก่อนมีประจำเดือน (เนื่องจากฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงและมีเลือดเข้าไปคั่งในบริเวณอุ้งเชิงกรานมากกว่าปกติ)
ส่วนเพศชาย อาจเกิดการล่วงเกินกับฝ่ายหญิงได้โดยมีเหตุปัจจัย 2 ประการ ได้แก่
1. อยู่ด้วยกันตามลำพังสองต่อสอง ในที่ลับหูลับตา แล้วบรรยากาศพาไป
2. ฝ่ายหญิงแต่งตัวโป๊ล่อแหลม กระตุ้นเร้าการตื่นตัวทางเพศในฝ่ายชาย
ผู้หญิงจึงควรหลีกเลี่ยง 2 สถานการณ์ดังกล่าวเพื่อป้องกันตนเองในเรื่องภัยทางเพศ

คำว่ารัก…คุณรู้จักแน่จริงหรือ
ความรัก คือความรู้สึกชื่นชมยินดีจนบังเกิดความปรารถนาขึ้น ซึ่งแบ่งเป็นปรารถนาที่จะให้หรือปรารถนาที่จะรับ พูดง่ายๆ คืออยากให้หรืออยากเอา ถ้าชื่นชมแล้วปรารถนาที่จะให้ก็เป็นรักแท้หรือ ความเมตตา เช่น รัก ผูกพัน ปรองดอง ห่วงใย คิดถึง เห็นใจ เข้าใจ สามัคคี เอื้ออาทร เสียสละ และให้อภัย แต่ถ้าหากชื่นชมแล้วอยากเป็นฝ่ายรับก็เป็นรักเทียม หรือ ความเสน่หา เช่น ติดตา ตรึงใจ ชื่นชอบ หลงเสน่ห์ หลงใหล เคลิบเคลิ้ม โหยหา เป็นความรักที่เกิดขึ้นในวัยหนุ่มสาว เมื่อใดก็ตามที่กล่าวถึงคำว่า ความรัก ต้องแยกให้ออกว่าหมายถึงรักแบบเมตตาหรือเสน่หา
ความรักอาจแบ่งได้เป็น 4 เกรด ได้แก่
เกรด 1 รักใคร่ใฝ่กามา…ต้องการเพียงแค่มีการสัมผัสสัมพันธ์ แต่ไม่ต้องการความผูกพัน
เกรด 2 รักหวังวิวาห์มาคู่กัน…มีความผูกพัน (อยู่ไกล ใจคิดถึง-อยู่ใกล้ ใจเป็นสุข) แต่มีความหึงหวงยึดถือเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
เกรด 3 รักปันแบ่งความสุข…เปลี่ยนจากความหึงหวงมาเป็นความห่วงใย ปรารถนาดีต่อกัน ใส่ใจในความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่ง
เกรด 4 รักยอมทุกข์เพื่อสุขเธอ…เป็นความรักแบบอุทิศ เช่น ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อบุตร

เซ็กซ์เปรียบเสมือนไฟ ความรักเปรียบเสมือนสายน้ำ…ทั้งไฟและน้ำต่างก็มีประโยชน์และโทษในตัวมันเอง ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ เราจึงต้องเรียนรู้ให้เข้าใจเรื่องความรักและความใคร่…การเรียนจนเกิดความรู้เท่าทันจะไม่ทำให้เราต้องเป็นทุกข์ ธรรมชาติของไฟ คือ มันเป็นลูกน้องที่ดี แต่เป็นเจ้านายที่เลว… เมื่อใดก็ตามที่เซ็กซ์ทำงานรับใช้เรา และเราควบคุมมันได้ เซ็กซ์จะทำให้เรามีความสุข แต่ถ้าเราประพฤติในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ธรรมชาติของน้ำ คือมันทำให้เรือลอยก็ได้ ทำให้เรือจมก็ได้…จิตที่ขาดสติก็เหมือนเรือที่มีรูรั่ว พร้อมที่จะจมลงสู่ห้วงรักเหวลึก แต่จงตั้งจิตให้เหมือนเรือที่ลอยอยู่เหนือน้ำ และให้สายน้ำนำพาชีวิตเราไปสู่จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ เราจึงเรียนรู้ให้เข้าใจเรื่องความรัก สัมมาทิฐิในเรื่องความรักจะไม่ทำให้เราต้องเป็นทุกข์
ผู้หญิง ปฏิเสธ อย่างไรให้ได้ผล
เพศสัมพันธ์ครั้งแรกของวัยรุ่นส่วนใหญ่มิได้เกิดขึ้นด้วยความพร้อม ที่มีการเตรียมตัวเตรียมใจอย่างดี แต่เป็นผลจากการอยู่กันสองต่อสอง บรรยากาศพาไป…หนึ่งในปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้น คือหญิงสาวมักปฏิเสธไม่เป็น ทั้งๆ ที่เป็นทักษะที่สำคัญเพื่อการปกป้องตนเองมิให้ตกเป็นเหยื่อจากการล่วงเกินจากเพื่อต่างเพศ เรื่องนี้ถือเป็นจุดอ่อนของหญิงไทย เพราะเราถูกสอนมาให้ทำตัวเป็นคน ว่านอนสอนง่าย คราวนี้พอเจอผู้ชายมาทำอะไรที่เราไม่ชอบ เลยไม่กล้ามีปากมีเสียง ผู้หญิงใจอ่อนแต่ปากแข็ง เจอผู้ชายจู๋แข็งแต่ปากหวาน เหตุการณ์มันก็เลยบานปลาย อย่างที่เห็นเป็นข่าวทุกวี่ทุกวัน
ประโยคไม้ตายที่ผู้ชายพูดเหมือนกันทั่วโลก เพื่อให้หญิงสาวยอมมีเซ็กซ์ด้วย ถ้าเธอรักฉันจริง ก็ต้องยอมเป็นของฉัน ถ้าไม่ยอมก็แสดงว่าไม่รักกันจริง ถ้าอย่างนี้ฉันจะไปมีแฟนใหม่… พูดอย่างนี้แทนที่ผู้หญิงหลายคนจะเลือกไม่ยอมมีเซ็กซ์กับเขา แต่กลับไม่ยอมให้เขาไปมีแฟนใหม่

ทั้งๆ ที่การมีเซ็กซ์กับเขา ก็มิได้เป็นหลักประกันว่าเขาจะรักเราคนเดียวตลอดไป ในความเป็นจริง ผู้หญิงต้องตั้งสติให้ทัน แล้วคิดกลับประโยคให้ได้ว่า ถ้าเขาไม่ยอมรับการปฎิเสธของเรา ก็แสดงว่าเขาไม่รักเราจริงเช่นเดียวกัน อย่างนี้แล้วผู้ชายคนนี้สมควรเป็นแฟนเราต่อหรือไม่
มีคำพูดปฏิเสธของผู้หญิงจำนวนมาก พบว่าบางคำดีมาก มีประสิทธิภาพสูงสุดในการปฏิเสธ แต่มีอยู่หลายๆ คำที่พูดกันอยู่บ่อยๆ ถึงแม้ว่าไม่ได้ผลก็ตาม…ในที่สุดก็แยกแยะคำปฏิเสธทั้งหมดได้เป็น 3 กลุ่มด้วยกัน
กลุ่มที่ 1 ผู้หญิงจะจนตรอก แทนที่ผู้ชายจะเป็นฝ่ายจนมุม ดูตัวอย่างคำพูดปฏิเสธต่อไปนี้
อย่าดีกว่า เดี๋ยวคนอื่นเห็นหรอก
เกิดคนอื่นเขารู้ ฉันจะเสียหาย
เอาไว้วันหลังแล้วกัน
ไม่ได้ กำลังมีเมนส์
เธอตรวจเอดส์หรือยัง
ถ้าเกิดท้องขึ้นมา จะทำยังไง

ที่ปฏิเสธอย่างนี้ส่วนใหญ่เป็นพวกเก่งในห้องเรียน (เก่งทฤษฎี) แต่อ่อนต่อโลก ในใจต่อต้านเต็มร้อย แต่พูดไม่เต็มปากเต็มคำ ผลสุดท้ายแทนที่จะรอด เลยเสร็จ…เพราะพูดไปแล้วก็เจอลูกตื้อ ฝ่ายชายจะไล่ต้อนด้วยข้อกล่าวอ้างมากมาย เช่น
ไม่มีใครเห็นหรอก เราอยู่กันแค่สองคนเท่านั้น
ไม่มีใครรู้หรอก ถ้าเธอไม่ไปบอกใคร ฉันไม่ไปบอกคนอื่น ก็มีแค่เราสองคนเท่านั้นที่รู้
วันนี้แหละดีที่สุด โอกาสดีๆ อย่างนี้หายาก วันนี้บรรยากาศดีด้วย
มีเมนส์ก็มีเซ็กซ์ได้ แถมดีซะอีก ช่วงมีเมนส์ไข่ไม่ตก ไม่ท้องด้วย
ฉันตรวจเอดส์แล้ว ไม่เป็นหรอก ไม่ต้องกลัว
รับรองว่าไม่มีทางท้องแน่นอน ฉันเตรียมถุงยางไว้ตั้ง 3 ชิ้น

กลุ่มที่ 2 ไม่ยอมเสียตัว และไม่กลัวเสียแฟน ถ้าคุณคิดว่าแผนแบบนี้สมควรจะเสีย
อย่ายุ่งกับฉัน
อย่าหวังไม่มีทาง ฝันไปเถอะ
ถ้าขืนทำ เราเลิกคบกัน แล้วจะแจ้งความด้วย
เธอเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัว คบไม่ได้
ฉันไม่อยากเสียตัวให้เธอ
หลักการปฏิเสธที่เหมาะสมและได้ผล คือ
1. ความหมายของการปฏิเสธชัดเจน ไม่ให้ความหวังที่ไม่เป็นจริง
2. ไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายชายมีข้ออ้าง จนทำให้ฝ่ายหญิงจนมุม
3. ไม่ทำให้ฝ่ายชายรู้สึกเสียหน้า ถูกตำหนิ จึงไม่เสียความสัมพันธ์ในฐานะแฟน หรือเพื่อนที่ดีต่อกัน

กลุ่มที่ 3 ตอนนี้ไม่ยอม ตอนพร้อมค่อยมี ถือเป็นประโยคคำพูดที่ดีและได้ประสิทธิผล
ถ้ารักฉันจริง อย่าบังคับใจฉัน ฉันไม่อยากให้เธอทำอย่างนี้
ไม่ดีหรอก ยังไม่ถึงเวลา ถ้ารักฉันจริง เธอต้องรอได้
ยังไม่ถึงเวลาที่จะมีเพศสัมพันธ์กันตอนนี้ไว้ต้องแต่งงานก่อน
ฉันทำไม่ได้หรอก ถ้าฉันทำอย่างนั้น ฉันจะหมดศรัทธาตัวเอง
ศาสนาของฉันถือว่าเป็นเรื่องผิด พ่อแม่และฉันยอมรับไม่ได้

จำง่ายๆ สั้นๆ ถ้าผู้ชายพูดว่า ถ้าเธอรักฉันจริง เธอต้องยอมเป็นของฉัน ผู้หญิงต้องกล้าพูดทันทีว่า ถ้าเธอรักฉันจริง เธอต้องรอฉันได้… เธอเป็นผู้ชายที่ฉันรัก แต่ฉันพร้อมก็ต่อเมื่อเราแต่งงานแล้วเท่านั้น ขอให้จดจำไว้ใช้ พูดให้ได้เมื่อเจอสถานการณ์ฉุกเฉิน ถ้าพูดเป็น ก็ไม่ต้องเสียรู้ เสียท่า เสียตัว และเสียใจ

กิจกรรมทางเพศ
การระบายความใคร่สามารถปฏิบัติได้ด้วย กิจกรรมทางเพศ ซึ่งมีหลากหลายวิธี แบ่งง่ายๆ เป็น 2 ส่วน ได้แก่ การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง ถือเป็นกิจกรรมทางเพศที่เหมาะสมที่สุดของวัยรุ่นและคนโสด เพศสัมพันธ์หมายถึง การมีกิจกรรมทางเพศกับคู่นอนหรือคู่สมรส ซึ่งมี 2 ส่วน ได้แก่
– เพศสัมพันธ์ภายนอก หมายถึง เพศสัมพันธ์ที่ไม่มีการ เติมคำลงในช่องว่าง ไม่ทำให้ตั้งครรภ์หรือติดเชื้อ
– ร่วมเพศ หมายถึง เพศสัมพันธ์ที่มีการ เอาอะไรใส่เข้าไปในอะไร มีการสัมผัสกับน้ำ และอาจมีบาดแผล ซึ่งเป็นทางเข้าของเชื้อเอชไอวี 3 ช่องทาง
1. โอษฐกาม คือการใช้ปากกระตุ้นอวัยวะเพศของอีกฝ่ายหนึ่ง
2. ร่วมเพศทางช่องคลอด สามารถทำให้ตั้งครรภ์ได้ ร่วมเพศทางช่องทวารหนัก ไม่ทำให้ตั้งครรภ์ แต่โอกาสติเชื้อเอชไอวีสูงสุด
3. Safe Sex หมายถึง กิจกรรมทางเพศที่ปลอดภัย ไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี เรียงลำดับความปลอดภัยจากมากที่สุดไปน้อย ได้แก่
– การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง…ถือว่าเป็นความปลอดภัยสูงสุด
– เพศสัมพันธ์แบบภายนอก…เนื้อหนังเสียดสีกัน โดยไม่มีน้ำมาสัมผัส
– ร่วมเพศโดยสวมถุงยางอนามัย…มีความเสี่ยงอยู่บ้าง หากการสวมหรือถอดถุงยางผิดเทคนิค

ระดับความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีจากการร่วมเพศ ได้แก่
1. ออรัลเซ็กซ์-เสี่ยงน้อยถึงปานกลาง ถ้าไม่มีการหลั่งน้ำอสุจิในช่องปาก ถือว่าเสี่ยงปานกลาง (จะน้อยหรือปานกลาง ก็ต้องสวมถุงยางเสมอ)
2. ร่วมเพศทางช่องคลอด-เสี่ยงมาก เพราะว่าเชื้อเอชไอวีมีความเข้มข้นสูงมากในน้ำกามและน้ำหล่อลื่นช่องคลอด สามารถติดทางบาดแผลเข้าสู่กระแสเลือดของอีกฝ่าย
3. ร่วมเพศทางช่องทวารหนัก-มีความเสี่ยงสูงสุดเนื่องจาก
– ช่องทวารหนักไม่มีน้ำหล่อลื่นเหมือนในช่องคลอด การฉีกขาดจึงเกิดขึ้นได้ง่าย
– ช่องคลอดสามารถยืดหยุ่นขยายตัวได้ดี แต่ช่องทวารหนักมีหูรูดรัดตัวถึง 2 ชั้น การฉีกขาดจึงเกิดขึ้นได้ง่าย
– เยื่อบุผนังในช่องทวารหนักบางกว่าช่องคลอด การฉีกขาดจึงเกิดขึ้นได้ง่าย
– รอบๆ ช่องทวารหนักมีหลอดเลือดมาเลี้ยงมาก การติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดจึงเกิดขึ้นได้ง่าย

การร่วมเพศในช่วงมีประจำเดือน ไม่ถือเป็นข้อห้ามทางการแพทย์ แต่มีข้อระวังคือเรื่องการติดเชื้อ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ง่าย เพราะปากมดลูกเปิดเพื่อขับเลือดประจำเดือนออกมา และเลือดก็เป็นแหล่งอาหารอย่างดีสำหรับเชื้อแบคทีเรีย การร่วมเพศทางช่องคลอดขณะมีประจำเดือน จึงต้องรักษาความสะอาดเป็นอย่างดี แต่หากหลีกเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง
การร่วมเพศในช่วงตั้งครรภ์

ไม่จำเป็นต้องงดการร่วมเพศ สามารถมีได้ตลอดระยะเวลาของการตั้งครรภ์ ยกเว้นกรณีที่เคยมีประวัติการแท้งลูกได้ง่ายในการตั้งครรภ์ครั้งก่อนๆ หรือร่วมเพศแล้วมีเลือดออก ต้องปรึกษาสูตินรีแพทย์ หากตั้งครรภ์ครั้งก่อนมีประวัติการคลอดก่อนกำหนด ก็แนะนำให้หลีกเลี่ยงการร่วมเพศในช่วงเดือนสุดท้าย เพราะขณะร่วมเพศจะมีการบีบตัวของมดลูกอาจเป็นสาเหตุทำให้คลอดก่อนกำหนดได้

การร่วมเพศหลังคลอดบุตร
ต้องงดการร่วมเพศเป็นเวลานาน 6 สัปดาห์ ซึ่งสามีภรรยา อาจมีกิจกรรมทางเพศร่วมกันได้โดยใช้ออรัลเซ็กซ์ หรือเพศสัมพันธ์แบบภายนอก

พลังจากทางเพศ
มีคำศัพท์หลายคำที่มีความหมายในทางเดียวกันได้แก่ ราคะ (ภาษาทางพุทธ) แรงขับทางเพศหรือ sexual drive (ภาษาทางจิตวิทยา) ฮอร์โมนเพศ (ภาษาทางแพทย์) ทุกอย่างที่กล่าวนี้ปรากฏขึ้นเมื่อพวกเราทุกคนเติบโตจากเด็กเข้าสู่วัยรุ่น
ตัวการสำคัญคือต่อมใต้สมอง พอทำงานเต็มที่ก็หลั่งฮอร์โมนไปกระตุ้นรังไข่ และอัณฑะเพื่อผลิตฮอร์โมนเพศหญิงและชาย ทำให้มนุษย์ทั้งชายและหญิงเกิดความสนใจ และเกิดการตื่นตัวทางเพศ…ในขณะเดียวกันมันเป็น พลังงาน แห่งชีวิต มีผลให้หนุ่มสาวเป็นวัยแห่งความกระตือรือร้น มองชีวิตมีชีวา สดชื่นแจ่มใสมีกิจกรรมในชีวิตมากมาย
1. การแปรรูปพลังงานทางเพศในแนวขวาง ได้แก่ กิจกรรมต่างๆ ที่ทำให้เสียเหงื่อ เสียกำลัง อ่อนเพลีย หมดแรง เช่น เล่นกีฬา ออกกำลังกาย ในที่สุดเราจะเหลือเรี่ยวแรงน้อยลงจนไม่ต้องมาหมกมุ่นในเรื่องทางเพศ
ดังนั้น จึงควรส่งเสริมให้มีการออกกำลังกาย มิใช่เพียงแค่เพื่อป้องกันปัญหายาเสพติดเท่านั้น แต่เพื่อมิให้มุ่งมั่นแต่เซ็กซ์
2. การแปรรูปพลังงานทางเพศในแนวตั้ง ได้แก่ กิจกรรมต่างๆ ในการพัฒนาสติปัญญา ความสามารถและยกระดับจิตวิญญาณ เช่น การตั้งใจเรียน ความสนใจในศิลปะ ดนตรี ความใกล้ชิดและดื่มด่ำกับความงดงามของธรรมชาติ การพัฒนาฝึกจิต ค้นหาความหมายของชีวิต จนจิตปล่อยวางความหลงใหลยินดีในกามคุณ

====ความเข้าใจตนเองและเพศสัมพันธ์ มีส่วนช่วยให้เยาวชนมีความยับยั้งชั่งใจในเรื่องของความรักและเพศสัมพันธ์การกระทำใดๆ ก็ตาม ล้วนส่งผลต่อตนเองและผู้อื่นไม่มากก็น้อย====
ที่มา นิตยสารหมอชาวบ้าน นพ.สุกมล วิภาวีพลกุล

Leave a Reply